⭐⭐ The Great Rotation - TopicsExpress



          

⭐⭐ The Great Rotation ได้เริ่มขึ้นแล้ว ท่านที่ลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเราน่าจะยังไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่เพราะ SET Index ที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มยืนอยู่ได้แถวๆ 1,450 จุด ก็กลับมาเจอแรงเทขายอีกรอบใน 2 วันที่ผ่านมาหลังจากตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของไทยออกมาต่ำกว่าคาด เมื่อรวมกับปัญหาการเมืองที่ยังอึมครึม ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่โดยเฉพาะต่างชาติ ยังไม่รีบร้อนที่จะกลับเข้ามาในตลาด ในขณะเดียวกัน ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯและสหภาพยุโรปออกมาค่อนข้างดี ทำให้ความสนใจของนักลงทุนทั่วโลกไปอยู่ที่ตลาดหุ้น Developed Markets (DM) กันหมด เม็ดเงินส่วนใหญ่จึงไหลไปทางนั้น ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านคงอยากทราบว่าแนวโน้มตลาดหุ้นใน Emerging Markets (EM) จะเป็นอย่างไรจากนี้ไป และเราจะยังมีโอกาสเห็นตลาดหุ้นไทยทำสถิติสูงสุดใหม่เหมือนที่ผมเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ ท่านที่ติดตามบทความของผมมาบ้างอาจพอคุ้นกับคำว่า The Great Rotation ที่ผมเขียนไว้เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว สรุปอย่างย่อๆ ผมมองว่า Cycle ของตลาดทุนโลกรอบนี้ (ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2009 หรือปีที่ Fed เริ่มใช้นโยบาย QE) ประกอบไปด้วย 4 Stages ด้วยกันคือ: 1) The Great Bond Bull Market; 2) The Great Correction; 3) The Great Rotation; และ 4) The Great Equity Bull Market ที่ต้องใส่คำว่า Great เพราะปริมาณสภาพคล่องในตลาดทุนรอบนี้สูงกว่าในอดีตหลายเท่าตัว ผมเชื่อว่าตลาดกระทิงของตราสารหนี้โลก หรือ Stage 1 ได้จบลงไปแล้ว โดยเฉพาะหลังจาก Fed ออกมาส่งสัญญาณอย่างชัดเจนเมื่อ 3 เดือนที่แล้วว่าจะเริ่มทยอยลดวงเงิน QE และอาจจะเลิกใช้นโยบายนี้ในปีหน้า ทำให้อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ทั่วโลกปรับขึ้นอย่างมาก ในสหรัฐฯ ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีเพิ่มขึ้นกว่า 1% การเปลี่ยนทิศทางของดอกเบี้ยระยะยาวอย่างรวดเร็วทำให้เม็ดเงินจำนวนมากไหลออกจากตลาด Bond ทั่วโลก ที่น่าสนใจกว่าคือ เม็ดเงินจำนวนมากก็ไหลออกจากตลาดหุ้นทั่วโลกด้วยในช่วงนั้น เพราะนักลงทุนไม่มั่นใจว่าดอกเบี้ยจะขึ้นไปอีกเท่าไร และจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแค่ไหน เราจึงเข้าสู่ Stage ของ The Great Correction เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ซึ่งก็คือแรงขายครั้งใหญ่ทั้งในตลาด Bond และตลาดหุ้น ผมประเมินไว้ในช่วงนั้นว่าการปรับฐานหรือ Correction รอบนี้น่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน หรือจนกว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯจะมีเสถียรภาพและทิศทางที่ชัดเจนขึ้น หลังจากนั้นเราก็จะเข้าสู่ Stage ของ The Great Rotation ซึ่งก็คือการลดน้ำหนักการลงทุนในตลาด Bond และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น แต่มีข้อแม้ว่า Stage ของการปรับเปลี่ยน Asset Allocation นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจโลกจะต้องมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน จากภาวะตลาดทุนล่าสุด ผมเชื่อว่าเราได้เข้าสู่ช่วง The Great Rotation แล้วด้วยเหตุผล 3 ข้อคือ: 1) การที่ Fed ออกมาส่งสัญญาณอีกครั้งว่าการทยอยลดหรือเลิกใช้ QE ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดขึ้น และ Fed ยังยืนยันที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับปัจจุบันไปจนถึงปี 2015 ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐฯ ไม่น่าจะสูงไปกว่า 2.75-3% ในปีนี้ และ 3-3.5% ในปีหน้า ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และไม่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หยุดชะงักลง 2) การที่ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของประเทศใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ จีน เริ่มดูดีขึ้น โดยเฉพาะสหภาพยุโรปที่ GDP ไตรมาส 2 ขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ทำให้นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อตลาดหุ้นโลก และ 3) การที่ธนาคารกลางของยูโร สหราชอาณาจักร และ ญี่ปุ่น ออกมายืนยันว่าจะยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนดีขึ้น มุมมองของผมสอดคล้องกับตัวเลข International Fund Flows ล่าสุด ที่ชี้ให้เห็นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่มีเม็ดเงินไหลเข้า Equity Funds (+3.7% YTD) มากกว่า Bond Funds (+1.3% YTD) ตัวเลขในวงเล็บแสดงถึงเงินที่ไหลเข้ากองทุนแต่และประเภทเทียบเป็น % ของสินทรัพย์ของกองทุน ถึงแม้ตัวเลขยังอาจดูไม่แตกต่างกันมาก แต่ถ้าเทียบกับตัวเลขของปีก่อนๆ จะเห็นว่ามีนัยสำคัญ ยกตัวอย่างเช่นปี 2012 Bond Funds มีเงินไหลเข้า +11% ขณะที่ Equity Funds ไหลออก -1% ปี 2010 เงินไหลเข้า Bond Funds +16% แต่เข้า Equity Funds แค่ +2% ปี 2009 เงินเข้า Bond Funds +24% เข้า Equity Funds เพียง +2% จากตัวเลขเหล่านี้ผมเชื่อว่าเรากำลังอยู่ที่จุดเริ่มต้นของการทำ Rotation ครั้งใหญ่ของกองทุนทั่วโลก ถึงตอนนี้ผมว่าท่านผู้อ่านคงอยากรู้แล้วว่าถ้าแนวโน้มตลาดหุ้นโลกเริ่มดีขึ้นจริง และกองทุนต่างชาติเริ่มโยกเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น ทำไมตลาดหุ้นไทยและอีกหลายๆ ตลาดใน EM ถึงยังไม่ปรับขึ้นแรงๆ และทำไมถึง Underperform ตลาดหุ้นใน DM ต้องยอมรับว่าแนวโน้มในช่วงนี้ของตลาดหุ้น DM ดูดีกว่า EM มาก เนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความชัดเจนกว่า และราคาหุ้น (เมื่อเทียบกับ EM) ก็ยังไม่แพงเพราะ Underperform มาเป็นเวลานาน รวมทั้งกองทุนส่วนใหญ่มีน้ำหนักในตลาดหุ้นเหล่านี้ต่ำกว่า Benchmark ดังนั้นเงินใหม่ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นช่วงนี้ส่วนใหญ่จะเข้าไปใน DM เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ ญี่ปุ่น ในระยะหลังเริ่มมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นยุโรปมากขึ้น นอกจากนั้น เม็ดเงินเดิมที่อยู่ในตลาดหุ้นอยู่แล้ว บางส่วนก็ถูกโยกออกจาก EM เพื่อเข้า DM ถ้าดูตัวเลข Fund Flows ลึกลงไปจะพบว่ามีเงินไหลออกจาก EM Equity Funds ถึง 9 สัปดาห์ใน 12 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่เม็ดเงินที่ไหลเข้า Western Europe Equity Funds ในสัปดาห์ที่แล้วมีปริมาณสูงสุดในรอบ 66 สัปดาห์ แค่เปรียบเทียบ 2 ตัวเลขนี้ก็น่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนแล้วว่ามุมมองผู้จัดการกองทุนโลกเป็นอย่างไร กล่าวโดยสรุป Total DM Equity Funds ปีนี้มีเม็ดเงินเพิ่มขึ้น 4.3%YTD เทียบกับ Total EM Equity Funds ที่โตขึ้นเพียง 0.2% YTD แต่ผมเชื่อว่าอีกไม่ช้าเงินก็จะไหลกลับเข้ามาใน EM เพราะเราเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทำ Rotation ยังมีเงินอีกมากที่จะไหลออกจากตลาด Bond เพื่อเข้าตลาดหุ้น ยิ่งเงินไหลเข้าตลาดหุ้น DM เร็วเท่าไร ก็จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้น EM เร็วเท่านั้น เพราะราคาหุ้นใน DM จะเริ่มแพงขึ้น ดูอย่างปีนี้ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นไปแล้วเกือบ 20% ขณะที่ตลาดหุ้นในกลุ่ม BRIC ปรับลดลงกันอย่างถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็น Brazil (-15%) Russia (-13%) India (-6%) China (-5%) ถึงจุดหนึ่งนักลงทุนก็จะให้ความสนใจกับตลาดหุ้นที่ Underperform มากกว่าที่ขึ้นไปแล้ว Catalyst หลักที่จะทำให้ตลาดหุ้น EM มีความน่าสนใจมากขึ้นจะมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งผมเชื่อว่าเราจะได้เห็นภายในปีนี้ ถึงเวลานั้นกองทุนต่างชาติจะมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นกับตลาดหุ้น EM และเราจะเริ่มเห็นเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย ซึ่งเป็นตลาดหุ้นเดียวในกลุ่ม TIP (Thailand, Indonesia, Philippines) ที่เงินต่างชาติไหลเข้าน้อยกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ผมยังมีมุมมองที่เป็นบวกกับตลาดหุ้นไทยในระยะยาว ล่าสุดผลประกอบการ Q2/13 ของบริษัทจดทะเบียนยังดูใช้ได้ ขยายตัวเฉลี่ย 26% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว การส่งออกจะเริ่มดีขึ้นเพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเงินบาทที่อ่อนลง ปัจจัยการเมืองยังดูน่าเป็นห่วงแต่ไม่น่าส่งผลมากต่อราคาหุ้นในระยะยาว ผมยังเชื่อว่าเราจะได้เห็น SET Index ทำสถิติ New High ใหม่ ไม่ภายใน 2014 ก็ปีถัดไป อย่าลืมว่าช่วงที่น่าซื้อหุ้นที่สุดคือเวลาที่มีแต่ข่าวลบในตลาด บทความ : คุณไพบูลย์ นรินทรางกูล
Posted on: Wed, 18 Sep 2013 00:17:07 +0000

Trending Topics




© 2015