Admin...... ขอนำมาฝากนะค่ะ - TopicsExpress



          

Admin...... ขอนำมาฝากนะค่ะ ว้าว!! สุดยอดค่ะ น่าสนใจใช่ไหม?ค่ะ Thai APEC NewsLetter อภิมหาเศรษฐี ....!!! 100 อภิมหาเศรษฐีโลก และ 10 อภิมหาเศรษฐีไทย นิตยสาร Forbes จัดอันดับอภิมหาเศรษฐีของโลก สำหรับปี 2013 (ฐานข้อมูลถึงเดือนมีนาคม ค.ศ.2013) มีการทำลายสถิติอยู่ 2 ประการ คือ อภิมหาเศรษฐีที่มีสินทรัพย์ระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) มีจำนวนมากถึง 1,426 ราย และมีสินทรัพย์รวมกันเป็นมูลค่ามากถึง 5.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 162 ล้านล้านบาท) ขณะที่มีอภิมหาเศรษฐีของไทยติดอันดับในครั้งนี้มากถึง 10 ราย ติดตามรายละเอียดจากที่นี่ได้ว่า อภิมหาเศรษฐีโลก 100 อันดับแรก และ 10 อภิมหาเศรษฐีไทยนั้น เป็นใครบ้าง มีที่มาของทรัพย์สินจากอะไร และรวยมากขึ้นหรือลดลงเท่าไรในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา 5 อันดับบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2013 จากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes ตกเป็นของ 1. Carlos Slim Helú อภิมหาเศรษฐีวัย 73 ปีชาวเม็กซิโก ผู้ก่อตั้ง América Móvil บริษัทให้บริการระบบโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของโลก และรายใหญ่ที่สุดของลาตินอเมริกา ปีนี้เขามีสินทรัพย์รวม 73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ครองแชมป์บุคคลที่รวยที่สุดในโลกเป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน 2. William Gates III หรือ Bill Gates อดีตแชมป์เก่าหลายสมัยติดต่อกัน หนุ่มใหญ่ชาวอเมริกันวัย 57 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft ซึ่งครองอันดับหนึ่งในตลาดระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์มาเป็นเวลา กว่าสิบปี ในปีนี้เขามีสินทรัพย์รวม 67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 3. Amancio Ortega Gaona อภิมหาเศรษฐีวัย 76 ปีจากสเปน ผู้ก่อตั้ง Inditex Group ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Zara และอีกมากมาย ปีนี้เขามีทรัพย์สิน 57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากถึง 19.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้กระโดดจากอันดับ 5 มาอยู่ในอันดับ 3 ได้เป็นครั้งแรก 4. Warren Buffett ชาวอเมริกันวัย 82 ปี ซึ่งทั่วโลกให้ความนับถือว่าเป็นกูรูด้านการลงทุน กองทุน Berkshire Hathaway ของเขาคือต้นแบบให้กับนักลงทุนรุ่นหลัง ปีนี้เขามีสินทรัพย์รวม 53.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 9.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 5. Larry Ellison ชาวอเมริกันวัย 68 ปี หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท Oracle Corporation ซึ่งเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์บริหารจัดการทั่วไปสำหรับองค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะในด้านฐานข้อมูล, ทรัพยากรองค์กร, ลูกค้าสัมพันธ์, บัญชี และอุปสงค์อุปทาน เป็นต้น การจัดอันดับในปีนี้ Ellison มีสินทรัพย์รวม 43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การ จัดอันดับในปีนี้มีจำนวนอภิมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) ทั้งหมด 1,426 ราย เพิ่มขึ้นถึง 216 ราย จากการจัดอันดับเมื่อปี ค.ศ.2011 ซึ่งเป็นปีที่ทั่วโลกเริ่มพยุงตัวขึ้นได้จากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงปี ค.ศ.2007 - 2009 ส่วนมูลค่าทรัพย์สินของอภิมหาเศรษฐีทั้ง 1,426 รายนี้ รวมกันเท่ากับ 5.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 162 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี ค.ศ.2011 มากถึง 0.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 27 ล้านล้านบาท) ประเทศที่มีอภิมหาเศรษฐีติดอันดับในปีนี้มากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกามีถึง 442 ราย (31% ของอันดับทั้งหมด) ตามมาด้วยอภิมหาเศรษฐีจากประเทศจีน 122 ราย รวมกับที่มาจากฮ่องกงอีก 39 ราย เป็น 161 ราย น่าสังเกตุว่า เพียงแค่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนรวมกัน ก็มีจำนวนอภิมหาเศรษฐีมากเกือบครึ่งหนึ่งของการจัดอันดับในปีนี้แล้ว ส่วนอันดับสามคือ อภิมหาเศรษฐีจากรัสเซีย 110 ราย นอกนั้นก็ไม่มีอภิมหาเศรษฐีจากประเทศใดที่มีจำนวนถึง 100 ราย แต่หากแบ่งตามภูมิภาค อภิมหาเศรษฐีจากเอเชียแปซิฟิกจะมีมากที่สุด คือ 386 ราย ตามมาด้วยยุโรป 366 ราย อเมริกาเหนือรวมกับลาตินอเมริกา (ยกเว้นสหรัฐอเมริกา) 129 ราย และตะวันออกกลางรวมกับแอฟริกา 103 ราย เมื่อจำแนกจำนวนอภิมหาเศรษฐีตามการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะได้ เช่น กลุ่ม G7 หรือกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา จำนวน 442 ราย, สหราชอาณาจักร 37 ราย, ฝรั่งเศส 24 ราย, เยอรมนี 58 ราย, อิตาลี 23 ราย, แคนาดา 29 และญี่ปุ่น 22 ราย กลุ่ม BRICS หรือกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย บราซิล จำนวน 46 ราย, รัสเซีย 110 ราย, อินเดีย 55 ราย, จีน 122 ราย และแอฟริกาใต้ 6 ราย กลุ่มสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน มีทั้งหมด 10 ประเทศ แต่มีอภิมหาเศรษฐีจากเพียง 6 ประเทศที่ติดอันดับ คือ ไทย จำนวน 10 ราย, ฟิลิปปินส์ 11 ราย, มาเลเซีย 10 ราย, เวียดนาม 1 ราย, สิงคโปร์ 10 ราย และอินโดนีเซีย 25 ราย สำหรับอภิมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์ สหรัฐหน้าใหม่ในการจัดอันดับปีนี้ มีอยู่ทั้งหมด 210 ราย และผู้ที่มีทรัพย์สินเพิ่มเป็นมูลค่ามากที่สุด คือ Amancio Ortega Gaona เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า เช่น Zara, Pull and Bear และ Massimo Dutti เป็นต้น มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อนถึง 19.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เขี่ย Warren Buffett ตกไปอยู่ในอันดับที่สี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 ส่วนอภิมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินลดลงมูลค่ามากที่สุดในปีนี้ คือ Eike Batista อภิมหาเศรษฐีจากบราซิล เจ้าของ EBX Group ที่ทำธุรกิจพลังงานและเหมืองแร่ มีทรัพย์สินลดลงมากถึง 19.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตกจากอันดับที่ 7 ในปีก่อนมาอยู่ในอันดับที่ 100 ส่วนประเทศไทยมีอภิมหาเศรษฐีติดการจัดอันดับในครั้งนี้ 10 รายด้วยกัน คือ 1. ธนินท์ เจียรวนนท์ และครอบครัว (อันดับ 58) ผู้ถือหุ้นใหญ่ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ที่ทำธุรกิจหลากหลาย เช่น สินค้าเกษตร อาหาร ค้าปลีก บันเทิง และโทรคมนาคม เป็นต้น เป็นอภิมหาเศรษฐีจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอันดับสูงสุดในปีนี้ มีทรัพย์สิน 14.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 104.3%) 2. เจริญ สิริวัฒนภักดี (อันดับ 82) ประธานกรรมการบริหารบริษัท TCC Holding ซึ่งถือหุ้นใหญ่อยู่ในบริษัทอีกมากมาย เช่น ThaiBev (เจ้าของเบียร์ช้างและสุราแสงโสม), Berli Jucker (จำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าอุปโภคบริโภคมากมาย), TCC Land (ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งโรงแรม ศูนย์ประชุม ห้างสรรพสินค้า) และ TCC Capital (เจ้าของอาคเนย์ประกันภัย) มีทรัพย์สินรวมทั้งหมด 11.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 112.7%) 3. ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ (อันดับ 736) ประธานกรรมการบริหารบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้พัฒนาและจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ ประเภททาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และอาคารชุด โดยเน้นทำเลกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังบูมอย่างมากในปัจจุบัน ทำให้มีทรัพย์สินมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากปลายปีก่อน (คิดเป็น 81.8%) 4. กฤตย์ รัตนรักษ์ (อันดับ 785) ประธานกรรมการบริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ (ผู้ได้รับสัมปทานดำเนินการสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7) และเป็นอดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา และบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง มีทรัพย์สินมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากเมื่อปลายปีก่อน (คิดเป็น -35.5%) 5. นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (อันดับ 825) ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำหลายแห่งของประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาล BNH โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลเปาโล เป็นต้น และเป็นประธานกรรมการบริหารของสายการบิน Bangkok Airways ด้วย มีทรัพย์สินมูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 58.3%) 6. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว (อันดับ 882) นิตยสาร Forbes ระบุว่า อดีตนายกรัฐมนตรีไทยรายนี้ได้รับเงินที่เคยถูกอายัดทรัพย์ไว้กลับคืนมาเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ตัวจริงของบริษัท SC Asset ผู้พัฒนาและจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันเคยเป็นผู้บริหารมาก่อน ปีนี้นิตยสาร Forbes ประเมินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีทรัพย์สิน 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากเมื่อปลายปีก่อน (คิดเป็น 183.3%) 7. วาณิช ไชยวรรณ (อันดับ 1031) ประธานกรรมการบริษัทไทยประกันชีวิต ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่ของไทย มีทรัพย์สินมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากปลายปีก่อน (คิดเป็น 27.3%) 8. คีรี กาญจนพาสน์ (อันดับ 1107) ประธานกรรมการบริหารบริษัท BTS Group Holdings ได้ถือหุ้นในบริษัทอื่นๆ มากมาย เช่น บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (รถไฟฟ้า BTS), บริษัท VGI Global Media (สื่อโฆษณา), พัฒนาและจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์แบรนด์ Abstracts และสนามกอล์ฟธนาซิตี้ เป็นต้น มีทรัพย์สินมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 62.5%) 9. อาลก โลเฮีย (อันดับ 1107) ชาวอินเดียที่เข้ามาทำธุรกิจในไทยกว่า 20 ปี โดยเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Indorama Ventures ซึ่งปัจจุบันถือเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายโพลีเอสเตอร์แบบครบวงจรรายใหญ่ของโลก มีทรัพย์สินมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับปลายปีก่อน (คิดเป็น -18.8%) 10. วิชัย ทองแตง (อันดับ 1268) อดีตทนายความที่ช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รอดพ้นคดีซุกหุ้นเมื่อปี พ.ศ.2544 จากนั้นได้ผันตัวเองมาเป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลกรุงเทพ และโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำอีกหลายแห่ง ปัจจุบันยังหันมาทำธุรกิจเคเบิลทีวีในนามบริษัท Cable Thai Holding (CTH) ซึ่งทุ่มเงินแย่งลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษมาจาก TrueVision ได้สำเร็จ ทำให้วิชัยมีทรัพย์สินรวมมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 83.3%) น่าสนใจใช่ไหม??ค่ะ
Posted on: Sat, 14 Sep 2013 05:15:04 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015