นามเดิม - TopicsExpress



          

นามเดิม ก็คือความว่างของจักรวาล เข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิดตัวอวิชชา--เกิดเหตุก่อ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (พระราชวุฒาจารย์) ได้เมตตาอธิบายถึงความเป็นไปของธรรมชาติไว้ ดังนี้ “สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี รูป กับ นามสองอย่างเท่านั้น นามเดิม ก็คือความว่างของจักรวาล เข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิดตัวอวิชชา--เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา---ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดกาลเวลาขึ้น คือ รูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม--ความว่าง--คั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้” .... จากหนังสือ "โลกแปรผัน อัศจรรย์พุทธวิทัศน์" นามเดิม ก็คือความว่างของจักรวาล เข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิดตัวอวิชชา--เกิดเหตุก่อ เริ่มแรกเดิมทีนั้น ณ จุดเริ่มต้นของจักรวาล มีการระเบิดบิกแบงครั้งมโหฬาร (Big Bang) เมื่อ 13.73 พันล้านปีมาแล้ว แต่ในชั่วเสี้ยววินาทีหลังการเกิด Big Bang อนุภาค (particles) ต่างๆที่กระจัดกระจายอยู่ในความว่างของจักรวาล เมื่อเคลื่อนผ่านสนามฮิกส์ (Higgs Field ซึ่งเปรียบเสมือนโคลนเหนียว ที่มีอนุภาคฮิกส์ (Higgs boson or subatomic particle เป็นองค์ประกอบที่สำคัญให้เกิด Higgs Field) อนุภาคเหล่านั้นก็เกิดมวล (mass) และรวมตัวกันเกิดเป็นอะตอมขึ้นมา ประกอบด้วยอิเล็กตรอนหมุนรอบแกนกลาง (nucleus) ซึ่งประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอน ซึ่งอะตอมเป็นพื้นฐานของวัตถุสสารต่างๆที่ปรากฏขึ้นในจักรวาล การเกิดมวลของอนุภาคต่างๆ จึงเปรียบได้กับการเข้าคู่กัน โดยการผ่านสนามฮิกส์ (Higgs Filed) ที่มีอนุภาคฮิกส์ (Higgs boson) เป็นพื้นฐาน ซึ่งคอยหน่วงอนุภาคต่างๆไว้ต่อความมีมวลที่เกิดขึ้น การอนุภาคฮิกส์ (Higgs boson) จึงเป็นข่าวเกรียวกราวเพราะเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง หลังจากที่พยายามค้นหามาร่วม 50 ปี ตั้งแต่เกิดทฤษฎีที่ว่า มีอนุภาคฮิกส์ (Higgs boson) อยู่ จึงทำให้สสารต่างๆมีมวล (Mass) ขึ้นมาได้ ทั้งนี้เป็นเพราะอนุภาคฮิกส์ (Higgs particle or Higgs Boson) ที่คาดว่าจะพบในสนามฮิกส์ มีอายุสั้นมากๆเพียงหนึ่งส่วนล้านล้านวินาที ซึ่งทำให้เกิดขึ้นได้จากการชนกันของอนุภาคในเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ของศูนย์วิจัย CERN หากปราศจากอนุภาคฮิกส์ (Higgs boson) และสนามฮิกส์ (Higgs Filed) อนุภาคต่างๆทีมีอยู่ในอวกาศก็จะปราศจากมวลและน้ำหนัก และไม่อาจรวมตัวกันได้ อย่างมากก็เป็นเพียงแค่ไอควันเท่านั้น ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ระบบสุริยะ ระบบแกแลกซี่ ตลอดถึงมวลมนุษย์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นมาได้เลย อนุภาคฮิกส์ (Higgs boson) นั้น เดิมมี 4 ตัว แต่ 3 ตัวไปเข้าคู่กับอนุภาค W+, W-, Z particles ใน Weak Nuclear Force ซึ่งแต่เดิมไม่มีมวล ทำให้เกิดมีมวลขึ้นมา [โบซอน (boson) เป็นอนุภาคสปินเลขจำนวนเต็ม (integer spin) ซึ่งประกอบด้วย 1. โฟตอน (photon) อนุภาคนำแรงแม่เหล็กไฟฟ้า (electro-magnetic force) 2. อนุภาคซี (Z) อนุภาคดับบลิว (W+,W-) อนุภาคนำแรงนิวเคลียร์แบบอ่อน (weak nuclear force) 3. อนุภาคกลูออน (gluon) อนุภาคนำแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม (strong nuclear force) 4. กราวิตอน (graviton) อนุภาคนำแรงโน้มถ่วง (gravitational force ซึ่งยังค้นไม่พบ)] ยังเหลืออนุภาคฮิกส์ (Higgs boson) อีกตัว ที่แทรกซึมอยู่กับสนามฮิกส์ (Higgs Filed) ทั่วจักรวาล ทำให้เกิดสสารซึ่งมีมวลหรือมีน้ำหนัก (ในสนามโน้มถ่วง gravitational field) ขึ้น และทำให้เกิดการสลายตัว (decay) ของสารกัมมันตภาพปรมาณูด้วย เป็นต้น profmattstrassler/articles-and-posts/particle-physics-basics/the-known-apparently-elementary-particles/the-known-particles-if-the-higgs-field-were-zero/ การทดลองด้วยการเร่งอนุภาคโปรตอน (protons) ให้วิ่งเร็วเท่า(หรือเกือบเท่าความเร็วของแสง) แล้วโน้มเข้ามาให้พุ่งปะทะชนกัน เพื่อศึกษาพลังงานที่ประทุแตกกระจายออกจากการปะทะชนกันนี้ เพื่อที่จะสามารถย้อนกลับไปหาอนุภาค (particles) ต่างๆหรือ "รูป" หรือ ที่เกิดขึ้นในช่วงเสี้ยววินาทีหลังเการเกิดบิกแบง (Big Bang) นั่นเอง มีการเกิดรูป-นามตามมา จากรูปหรืออนุภาคที่เล็กสุด (ซึ่งความจริงแล้ว ยังหาตัวจริงอนุภาคฮิกส์ (Higgs boson) ไม่พบ พบแต่พลังงานปะทุที่เชื่อว่าเกิดจากมัน) แทรกซึมอยู่ทั่วไปและมีอิทธิพลให้เกิดมวล (mass) ต่อสสารทั้งหลายทั่วทั้งจักรวาล จึงเป็น “รูป” ที่มองไม่เห็นและยังหาไม่พบจริง เห็นแต่เพียงหลังงานปะทุหรือ "นาม" ให้สังเกตได้จากการทดลองที่ CERN ครั้งนี้เท่านั้น ซึ่งก็ตรงกับที่หลวงปู่ดูลย์อธิบายไว้ว่า นามเดิมคือความว่างของจักรวาลเข้าคู่กัน เช่น อนุภาคฮิกส์ (Higgs boson) เข้าคู่กับอนุภาค W+, W-, Z particles เกิดเป็นมวลและมีน้ำหนัก (ในเขตที่มีแรงโน้มถ่วง) ให้แก่อนุภาค W+, W-, Z particles ที่สวาปามเอาอนุภาคฮิกส์ (Higgs boson) เข้าไป เกิดมีมวลและน้ำหนักขึ้น ถ้าปราศจากการเข้าคู่กัน ก็ไม่มีการเกิดปัญหา เพราะก็ไม่มีเรามานั่งแก้ปัญหากันอยู่ตรงนี้ หากแม้นว่าสนามฮิกส์ (Higgs Field) เป็น 0 ก็จะไม่มีการเข้าคู่กันระหว่างอนุภาค (particles) หรือ สสารและพลังงาน และก็จะไม่มีโลกอย่างที่เราเห็นอยู่เช่นนี้ เพราะอนุภาค (particles) ทั้งหลายล้วนปราศจากมวล (massless ยกเว้นอนุภาคฮิกส์-Higgs boson) ด้วยต่างคนก็ต่างอยู่ ไม่ยุ่งต่อกัน ไม่เข้าคู่กัน ไม่มีสสาร ไม่มีมวล (mass) ไม่มีโลกให้เราอาศัยอยู่ ไม่มีมนุษย์และไม่มีเรา ไม่มีปฏิกิริยาต่อกัน ไม่มีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ไม่มีไตรลักษณ์ ดังนั้นจะไม่ต้องมีปัญหา ด้วยไม่ต้องมีการเกิด ไม่มีการเสื่อมสลายหรือการดับต่อทั้งสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่ต้องทุกข์ทนสภาพเดิมไว้ไม่ได้ เพราะก็ไม่มีเราปรากฏอยู่ ณ ที่นี้ ด้วยไม่มีเหตุก่อ “Superpositioning” หรือ “สภาวะเชิงซ้อน” ในควอนตัมฟิสิกซ์ (Quantum Physic) ยังมีปรากฏการณ์ที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งที่น่าศึกษาและทำความเข้าใจ คือ “Superpositioning” หรือ “สภาวะเชิงซ้อน” ที่เกิดขึ้นจากการทดลองกับหลืบคู่ (Double slit experiment) ด้วยการฉายแสงให้ส่องลอดหลืบ(slits)คู่ 2 หลืบไปกระทบฝาผนัง เวลาที่สังเกตดู จะเห็นลำแสงของอนุภาคอีเลคตรอน (electron particles) 2 สำที่เล็ดลอดหลืบแต่ละหลืบไปกระทบฝาตามรูปร่างของหลืบที่ลำแสงเล็ดลอดผ่านหลืบมาแต่ละหลืบ โดยไม่ข้ามก้าวก่ายปะปนกันกับลำแสงอีกลำที่ลอดหลืบอีกหลืบมาเช่นกัน แต่ครั้นพอไม่สนใจไปจ้องดูมัน คือปราศจากผู้สังเกตหรือการสังเกต แสงที่ส่องนั้นก็กลับกลายสภาพตัวมันเองเป็นคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กโฟตอน (Photon ซึ่งเป็น electromagnetic force) แทนที่จะเป็นลำแสงของอนุภาคอิเลคตรอน electron particles เยี่ยงเดิม มีผลให้กลายเป็นระลอกคลื่นของกระแสพลังงานไปกระทบฝาผนังได้ทั้งหมดทุกจุด (ไม่เป็นรูปลำแสงในรูปลักษณ์ของหลืบที่ลอดมาเยี่ยงเดิม) ประดุจหนึ่งไม่มีหลืบที่ให้แสงลอดมาได้เท่านั้น แต่จะเห็นเป็นระลอกๆคลื่นแสงซึ่งหนาบางไม่เสมอกัน เสมือนคลื่นกระทบฝั่งเป็นระลอกๆ แต่พอหันกลับไปสังเกตดูมันอีกที แสงก็กลับพลิกตัวเป็นลำแสงของอนุภาคอีเลคตรอน (electron particles) เยี่ยงเดิม นับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่ง่ายนักในการอธิบาย ปรากฏการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่า สสาร(รูป)และพลังงาน(นาม)แปรเปลี่ยนสภาพกลับกลอกไปมาได้ตลอดเวลา (อนิจจัง) ไม่สามารถดำรงคงทนถาวรในสภาพเดิมไว้ได้ (ทุกขัง) และ ไม่อาจบังคับให้อยู่ใต้อำนาจบัญชาได้ (อนัตตา) นั่นคือ เป็นการแสดงสภาวะไตรลักษณ์ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ผู้สังเกต (อัตตา) สามารถส่งผลมีอิทธิพล (bias) ต่อสภาวะที่กำลังสังเกตทดลองศึกษาอยู่ได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างกันอย่างตรงกันข้าม ประดุจหนึ่งว่า การสังเกตนั้นเองได้ก่อให้เกิดความลำเอียงหรือ bias ขึ้นมา ส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างจากเดิมที่ไม่ได้มีการสังเกต กล่าวคือ แสงได้เปลี่ยนสภาพจากพลังงานกลายมาเป็นสสารเมื่อถูกเฝ้าดูหรือสังเกตอยู่ เป็นต้น ........ huffingtonpost/amir-aczel/higgs-boson-history_b_1765353.html The particles, with the interactions among the known particles shown as lines. The non-zero Higgs field (green swath) makes the known particles massive, and the Higgs field and Higgs particle have stronger interactions with the heavier particles. If the Higgs field were zero, the matter fields would be rearranged, as would be the forces and force carriers. None of the known particles would be massive, though the Higgs particles (of which there would be four, at least) would be massive.
Posted on: Wed, 28 Aug 2013 07:29:19 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015