บล.เอเซียพลัส : - TopicsExpress



          

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 15/11/56กลยุทธ์การลงทุน แม้สถานการณ์ในประเทศไม่เป็นใจ แต่การฟื้นตัวของตลาดหุ้นโลก อาจหนุนให้หุ้นฟื้นตัว แต่ยังแนะนำให้ปรับพอร์ตและถือหุ้นราว 30% โดยให้เลือกหุ้นที่มีกระแสเงินสดมั่นคง และมีเงินปันผลสูง ยังเลือก BECL(FV@B52) เป็น Top Pick ตลาดหุ้นโลกตอบรับด้านบวกต่อ ถ้อยแถลงของประธาน FED คนใหม่ ที่ยังยืด QE ต่อไป ดูเหมือนตลาดหุ้นโลกจะตอบรับด้านบวกต่อถ้อยแถลงของ นางเจเน็ต เยลเลน ซึ่งจะเข้ามารับตำแหน่งประธานเฟด แทนนายเบน เบอร์นันเก้ ในเดือน ก.พ. ปีหน้า ทั้งนี้ถ้อยแถลงดังกล่าวเป็นไปตามที่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อเมื่อวานนี้คือ จะยังคงดำเนินโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป เพื่อให้ความมั่นใจต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะความมุ่งหวังที่จะเห็นอัตราการว่างงานให้อยู่ระดับต่ำที่6.5% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กำหนดไว้เทียบกับปัจจุบันที่อยู่ราว 7.3% และอัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำเพียง1.2% เทียบกับเป้าหมายที่ระดับ 2% ขณะที่การประกาศตัวเลขตลาดแรงงาน สื้นสุด 9 พ.ย. 2556 พบว่าผู้ตกงานที่ขอรับสวัสดิการครั้งลดลง 2 พันราย เทียบกับที่สัปดาห์ก่อนหน้าที่ลดลง 5 พันราย (แต่คาดว่าอัตราการว่างงานน่ายังคงทรงตัวในระดับ 7.3% สิ้นสุด ณ เดือน ต.ค. 2556) ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมก็มีแนวโน้มฟื้นตัวตลอดระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา แต่ก็สวนทางกับภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดียวกัน ความขัดแย้งจาก 2 ภาคเศรษฐกิจ จึงเป็นการยืนยันถึงความเป็นไปได้ที่ FED จะยืดการใช้ QE ไปถึงต้นปีหน้า และน่าจะมีการตัดลดในไตรมาสแรกของปี 2557 ซึ่งคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในวันที่ 17-18 ธ.ค. นี้ เป็นที่สังเกตว่าตลาดหุ้นสหรัฐมีค่า Current P/E 16 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงที่สุดท่ามกลางตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว (ตลาดหุ้นยุโรปอยู่ที่ระดับ 14 เท่า) เป็นรองเพียงตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่มี Current P/E 19 เท่า แต่อย่างไรก็ตามพัฒนาเชิงบวกที่เกิดขึ้นในตลาดสหรัฐ น่าจะเกิดจากผลประกอบการงวด 3Q56 ที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ มีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการกำไร (EPS Growth) ในอนาคต นั่นหมายความว่า Current P/E ในสหรัฐมีแนวโน้มลดลง ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ที่สวนทางกับตลาดหุ้นไทย ที่อยู่ในภาวะที่จะต้องปรับลด EPS Growth ในปีนี้ และปีหน้า ดังที่ได้นำเสนอต่อเนื่องตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์นี้จึงยังคงหนุนให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากประเทศกำลังพัฒนา เงินทุนมีโอกาสไหลกลับเข้าภูมิกาค แต่การเมืองไทยยังคงกดดัน วานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 แต่ยอดขายลดลง 56% เหลือราว 305 ล้านเหรียญฯ แต่ยังคงเป็นการขายสุทธิในในทุกประเทศ ขายสุทธิสูงสุดคือไต้หวันขายสุทธิเป็นวันที่ 2 ราว 197 ล้านเหรียญฯ ตามมาด้วยไทย ขายสุทธิเป็นวันที่ 11 ราว 48 ล้านเหรียญฯ (1.5 พันล้านบาท, ลดลง 64%) ส่วนเกาหลีใต้ขายสุทธิเป็นวันที่ 2 ราว 34 ล้านเหรียญฯ (ลดลง 84%) สุดท้ายคือฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย ขายสุทธิใกล้เคียงกันราว 13 (ลดลง 42%) และ 12 (ลดลง 75%) ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ แม้ว่าแนวโน้มต่างชาติจะยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค โดยที่เป็นการขายสุทธิถึง 8 วันจาก 9 วันหลังสุด แต่เชื่อว่า ในระยะสั้น จะมีแรงซื้อจากต่างชาติกลับเข้ามาในภูมิภาค จากการที่ FED น่าจะยังคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองในประเทศไทยยังคงกดดันตลาดหุ้นไทย ทำให้มีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนต่างชาติ จะเลือกซื้อหุ้นในประเทศเพื่อนบ้าน และ ขายสุทธิเบาบางในไทยCurrent P/E ตลาดหุ้นไทยน่าจะขึ้นมายืนเหนือ 15 เท่าหากต้องปรับลด EPS ลงราว 5% วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่บริษัทจดทะเบียนจะต้องรายงานงบงวด 3Q56 ให้เสร็จสิ้นตามกำหนด อย่างไรก็ตามยังมีบริษัทจดทะเบียนรายงานมาเพียง 78% ของทั้งหมด และที่ประกาศงบออกมาส่วนใหญ่ ล้วนต่ำกว่าที่คาดทั้งสิ้น และมีผลทำให้ต้องมีการปรับลดประมาณการในปี 2556-2557 ซึ่งเพิ่มจากที่รายงานไปเมื่อวานนี้ ได้แก่ PM (ซื้อ: FV@B 12.4) แม้กำไรสุทธิงวด 3Q56 เพิ่มขึ้น 38%qoq แต่ต่ำกว่าคาด สะท้อนจากกำไรสุทธิ 9M56 ที่คิดเป็นสัดส่วน 58% ของประมาณการทั้งปี 2556 ซึ่งถือว่าเติบโตต่ำกว่าคาด ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2556-57 ลงราว 15% และ 20% ตามลำดับMCS (ซื้อ: FV@B 5.26) กำไรสุทธิงวด 3Q56 เป็นไปตามคาด โดยพลิกกลับมาเป็นกำไร 62 ล้านบาทหลังขาดทุนจากไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งมอบโครงสร้างเหล็กใน 2H56 ต่อเนื่องไปถึง 1Q57 ที่มีแนวโน้มทำได้น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ประกอบกับรายการพิเศษที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2556 และ 2557 ลง 33% และ 35% ตามลำดับ INTUCH (ซื้อ: FV@B 124) กำไรสุทธิงวด 3Q56 ลดลง 7.8% qoq ชะลอตัวตามกำไรของบริษัทลูกที่ทำกำไรได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไร ADVANC(ถือหุ้น 40%) และ THCOM (41%)ในปี 2556 และ 2557 ลง ส่งผลให้ ต้องปรับลดกำไรสุทธิ INTUCH ปี 2556 และ 2557 ลดลงจากประมาณการเดิมเช่นกันที่ 14% และ 17% ตามลำดับ ASK (ซื้อ: FV@B 33.25) กำไรสุทธิงวด 3Q56 ทรงตัวเมื่อเทียบกับงวดก่อนหน้า แม้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ แต่การเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิยังเติบโตตามคาด อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการผลการดำเนินงานปี 2556-57 ลง 4.3% และ 6% ตามลำดับ จากการปรับเพิ่มการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่สูงขึ้นจากการดำเนินงานนโยบายเคร่งครัดอย่างไรก็ตามยังมีหุ้นปรับเพิ่มประมาณการในปีนี้และปีหน้าคือ GFPT (ซื้อ: FV@B 15.51) กำไรสุทธิงวด 3Q56 เติบโตดีกว่าคาด 101% qoq จากยอดขายที่เติบโตตามฤดูกาล รวมทั้งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ส่งผลให้กำไรสุทธิในงวด 9M56 สูงเกินประมาณการกำไรสุทธิปี 2556 ที่คาดไว้เดิม ฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2556-57 ถึง 33% และ 11% ตามลำดับ RATCH (ซื้อ: FV@B 64.08) กำไรสุทธิงวด 3Q56 เติบโต 37% qoq ดีกว่าคาด ผลจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งกำไรจากบริษัทย่อย ส่งผลให้กำไรสุทธิงวด 9M56 คิดเป็นทั้งปีของประมาณการปี 2556 จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2556 ขึ้น 14.1% จากเดิม UNIQ (ซื้อ: FV@B 11.15) กำไรสุทธิงวด 3Q56 เพิ่มขึ้น 98% qoq และดีกว่าคาด จากการรับรู้รายได้งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงมากขึ้น และจะเติบโตต่อเนื่องในงวด 4Q56 ไปจนถึงปี 2558 ทำให้ผลกำไรงวด 9M56 คิดเป็น 93% จากประมาณการเดิม จึง ปรับประมาณการกำไรปี 2556 ขึ้น 45% แต่ยังคงประมาณการกำไรปี 2557 ไว้เท่าเดิม CPN (ซื้อ : FV@B 68) แม้กำไรสุทธิงวด 3Q56 ลดลง 48.7%yoy แต่กำไรปกติ เพิ่มขึ้น 17.5% yoy หลักๆ มาจากการเติบโตของรายได้ค่าเช่าศูนย์การค้า และการบันทึกกำไรพิเศษจากการสินทรัพย์เข้ากองทุน CPNCG ทำให้งวด 9M56 กำไรสุทธิคิดเป็นสัดส่วนถึง 82% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2556 และแนวโน้ม 4Q56 คาดยังมีแนวโน้มสดใสต่อเนื่องตามธุรกิจศูนย์การค้าเดิมที่เติบโตมั่นคง ฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่มประมาณการปี 2556-2557 ขึ้น 6% และ 7% ตามลำดับส่วนที่คงประมาณการ TUF (ซื้อ: FV@B 74) กำไรสุทธิงวด 3Q56 เติบโตดีกว่าคาด 179.7% qoq (แต่ลดลง 37.7% yoy) ดีกว่าคาด จากธุรกิจกุ้งที่ฟื้นตัวกว่าที่คาดไว้เพราะสามารถนำเข้ากุ้งบางส่วนเข้ามาเพื่อทดแทนผลผลิตกุ้งที่หายไป รวมทั้งสามารถปรับเพิ่มราคาขายให้ครอบคลุมต้นทุนวัตถุดิบ กำไรสุทธิ 9M56 คิดเป็น 55% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2556 ที่ประเมินไว้ ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2556-57 ไว้ ขณะที่คาดผลการดำเนินงาน 4Q56 จะเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่อง จึงปรับคำแนะนำจากถือ เป็น ซื้อ MINT (ซื้อ: FV@B 34) กำไรสุทธิงวด 3Q56 เป็นไปตามคาด เติบโต 31% yoy จากการเติบโตของทุกธุรกิจหลัก ขณะที่การดำเนินงานงวด 4Q56 คาดยังเติบโดดเด่นตามฤดูกาลปลายปี ฝ่ายวิจัยคงประมาณการเดิม TVO (ซื้อ: FV@B 34) กำไรสุทธิงวด 3Q56 เป็นไปตามคาด ลดลง 40% qoq ผลจากการแข่งขันด้านราคากากถั่วเหลืองกดดัน Gross Margin ให้ลดลง เช่นเดียวกับปริมาณขายน้ำมันถั่วเหลืองก็ลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ตามการดำเนินงานงวด 4Q56 คาดจะฟื้นตัวดีขึ้น หลังผู้ประกอบการนำเข้ากากถั่วเหลืองจากต่างประเทศลดน้อยลง จึงคงประมาณการเดิม CK (ซื้อ: FV@B 29.22) กำไรสุทธิงวด 3Q56 เติบโตถึง1,031% yoy ดีกว่าที่คาดไว้ จากงานก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีและงานก่อสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ รวมทั้งกำไรพิเศษในเงินลงทุน และรายได้ดอกเบี้ยรับ ส่วน 4Q56 คาดจะทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จึงคงประมาณการเดิม BEAUTY (ซื้อ: FV@B 28) กำไรสุทธิงวด 3Q56 เป็นไปตามคาด เพิ่มขึ้น 28% yoy (แต่ลดลง 13% qoq) จากยอดขายสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้นและการเปิดสาขาใหม่ ส่วนงวด 4Q56 จะเป็นจุดสูงสุดของปีจากช่วงฤดูกาลจับจ่ายและการเปิดสาขาเพิ่ม จึงคงประมาณการเดิม BCH (ถือ: FV@B 7.4) กำไรสุทธิ 3Q56 ลดลง 29.9% yoy โดยยังได้รับผลกระทบภาระขาดทุนจากการเปิด รพ. แห่งใหม่ ทำให้กำไรงวด 9M56 คิดเป็น 80.7% ของประมาณการทั้งปี 2556 แต่ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการเดิม เนื่องจากคาดกำไรสุทธิงวด 4Q56 มีแนวโน้มอ่อนตัวจากงวด 3Q56 ทั้งจากผลกระทบของฤดูกาล และจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอตัวลงนักวิเคราะห์ : ภรณี ทองเย็น เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ : พบชัย ภัทราวิชญ์ กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์ เรียบเรียง โดย ชุติมา มุสิกะเจริญ อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai ที่มา สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 15/11/13 เวลา 9:24:35
Posted on: Fri, 15 Nov 2013 02:39:52 +0000

Trending Topics



Someone last week
SINGLE ROOM $287 p/week + 10 hours FREE Internet or Wi-Fi at

Recently Viewed Topics




© 2015