ส่วนประกอบที่สำคัญใน Molet - TopicsExpress



          

ส่วนประกอบที่สำคัญใน Molet Latie (โมเลทชมพู) 1. L-Glutamine / แอล-กลูตามีน เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็น (Essential Amino Acids) และเป็นกรดอะมิโนที่มีมากที่สุดในร่างกาย โดยมากกว่า 60% ของ Glutamine จะอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ (Skelaton Muscle) ดังนั้น Glutamine จึงเป็นกรดอะมิโน ที่เป็นโครงสร้างหลักของโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลัก ของเซลล์กล้ามเนื้อนั่นเอง Glutamine จะทำหน้าที่คล้าย BCAA คือจะไปกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ร่างกาย มีการสังเคราะห์โปรตีน เพื่อเสริมสร้างเซลล์กล้ามเนื้อและช่วยซ่อมแซมเซลล์กล้ามเนื้อ ที่สึกหรอหรือได้รับบาดเจ็บจากการออกกำลังกายที่รุนแรง ช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว จุดเด่นของ Glutamine ก็คือ ช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ โดยการช่วยทำลาย กรดแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อ ในขณะที่ออกกำลังกายได้ ทำให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น และ Glutamine ยังจะช่วยลดการเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อ อีกทางหนึ่งด้วย ในนักกีฬาที่ใช้สมองมาก Glutamine ยังเป็นแหล่งพลังงานที่ดีสำหรับสมอง ช่วยให้สมองมีการทำงานที่ดีมากขึ้น โดย Glutamine จะทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้น (Precursor) ในการผลิตสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) คือ Glutamate และ GABA ( Gamma-Aminobutyric Acid ) และนอกจากนี้ Glutamine ยังเป็นสารที่จำเป็นจะต้องใช้ สำหรับการล้างพิษสารแอมโมเนียที่เกิดขึ้น จากการทำงานหนักของสมองอีกด้วย L-Glutamine เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการสังเคราะห์โปรตีน และช่วยในการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเนื่องจากการออกกำลังกาย ช่วยกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต (Growth Hormone) จากต่อมใต้สมอง (Pituitary Grand) ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น โดยการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว สามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับสมองได้อีกทางหนึ่ง ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ทำให้เป็นหวัดและติดเชื้อได้ยากขึ้น สามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับสมองได้อีกทางหนึ่ง จึงใช้ในนักกีฬาประเภทที่ใช้สมองมากๆ ได้ดี 2. L-Cysteine / แอล-ซิสเทอีน L-Cysteine แอล-ซีสเตอีน เป็นสารประเภทกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่เป็นสารตั้งต้นในการการสร้าง กลูต้าไธโอนให้กับร่างกายโดย L-Cysteine จะทำงานร่วมกันกับ Glycine และ Glutamic acid ที่มีมากในร่างกายเรา และสารที่จะสั่งให้เกิดการ form พันธะ เป็นกลูต้าไธโอนได้นั้นคือ กลุ่ม VITAMIN C หรือแคลเซี่ยม แอสคอร์เบต (Calcium Ascorbate) สร้างที่ตับ ความจริงแล้วร่างกายเราสามารถสร้างกลูตาไธโอนได้เองในตับ จากการที่เรารับประทานเนื้อสัตว์หรือโปรตีนเข้าไปในร่างกาย โดยกลูตาไธโอนเป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโนที่มีอยู่ในเนื้อสัตว์ ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ คริสทีอีน(Cysteine) ไกลซีน(Glycine)และ กลูตามิค เอซิด (Glutamic Acid) โดยสารดังกล่าวช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ เพื่อขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทั้งยาฆ่าแมลง โลหะหนัก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ร่างกายได้รับ นอกจากนี้ยังช่วยในการสร้างเอ็นไซม์ต้านอนุมูลอิสระ โดยทำหน้าที่ร่วมกับวิตามินซี ซึ่งได้ร่วมกันซ่อมแซมสารพันธุกรรมที่อาจเปลี่ยนแปลงการเป็นมะเร็งได้ และยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทซิเนส (Tysinase) ไม่ให้สามารถเปลี่ยนเป็นโดปาควินโนน ซึ่งมีผลทำให้สร้างเม็ดสีน้อยลง มีคุณสมบัติลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้านการเสื่อมของเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวหน้า ขาวสวยใส เรียบ เนียน เปล่งปลั่ง ลดฝ้า และ จุดด่างดำ รวมถึง ยังช่วยให้ผิวพรรณทั่วเรือนร่าง ใต้วงแขน บริเวณขอบชุดชั้นใน (Bikini line) ริมฝีปาก และบริเวณหัวนม ให้ขาวอมชมพู 3. Glycine / ไกลซีน ไกลซีน จัดอยู่ในกลุ่มจำเป็นสำหรับการสร้างโปรตีนในร่างกาย การสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก การสร้างของ RNA, DNA, กรดน้ำดี และกรดอะมิโนอื่น ๆ ในร่างกาย นอกจากนี้ยังพบอีกว่ามีประโยชน์ในการช่วยดูดซึมของแคลเซียมในร่างกาย และเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน ไกลซีน มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่โดดเด่นหลายประการ เช่น ไกลซีนให้ผลดีต่อการรักษาภาวะต่อมใต้สมองทำงานน้อย และเนื่องจากไกลซีนช่วยเพิ่ม ครีเอทีนีน ให้แก่ร่างกาย (ครีเอทีนีน เป็นสารที่สำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ) มันจึงใช้ได้ผลในการรักษาโรคกล้ามเนื้อฝ่อลีบ และที่น่าสนใจอีกประเด็นคือ หากร่างกายได้รับไกลซีนในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น และมีพลังงาน แต่หากได้รับมากเกินไปจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้ ไกลซีน มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง จึงถูกนำไปใช้ในการรักษาโรคซึมเศร้าแบบคลุ้มคลั่งและอาการไฮเปอร์ และยังอาจช่วยป้องกันอาการของโรคลมชัดได้ด้วย ปัจจุบัน แพทย์ทางโภชนาการหลายท่าน ใช้ไกลซีนในการรักษาภาวะน้ำตาลต่ำ (ไกลซีน กระตุ้นการหลั่งของกลูคากอน ซึ่งย่อยสลายไกลโคเจนเปลี่ยนรูปเป็นน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด) นอกจากนี้ ไกลซีนยังถูกใช้ในการรักษาภาวะกรดในกระเพาะมากเกินไปอย่างได้ผล กรดอะมิโนชนิดนี้จึงมักถูกรวมไว้ในยาลดกรดหลายชนิดด้วยเช่นกัน ทั้งยังใช้ในการรักษาภาวะเลือดเป็นกรดบางกรณี โดยเฉพาะกรณี ลิวซีนไม่สมดุล ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติของกลิ่นตัวและลมหายใจ ซึ่งก่อนหน้านี้รักษาได้เพียงวิธีเดียวคือ จำกัดอาหารที่มีลิวซีน จากผลวิจัยพบว่า ไกลซีน เพิ่มความจำในผู้ที่ประสบปัญหาหลากหลายจาก การนอนหลับ โรคจิตเภท, โรคพาร์คินสัน, โรคเจ็ตแล็ก (Jet Lag) และความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักเกินไป การขาดไกลซีน ร่างกายจะไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายได้ ผิวจะหย่อนคล้อยและไม่สามารถต้านทานต่อการทำร้ายผิวจากรังสียูวีและอนุมูลอิสระได้ และหากมีบาดแผลจะยากต่อการรักษา แหล่งที่พบ ไกลซีน ในธรรมชาติ พบมากในโปรตีนจากเนื้อปลา, เนื้อสัตว์ต่างๆ, ถั่ว, ผลิตภัณฑ์จากนม และชีส 4. Zinc Amino Acid Chelate 20% / ซิงก์อมิโนแอซิดคีเลต 20% ซิงค์ ( สังกะสี ) เป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญซึ่งพบได้ในทุกเซลล์ของร่างกายในร่างกายมนุษย์จะประกอบด้วยซิงค์ ประมาณ 1.5 - 2.5 กรัมถึงแม้ ว่าในแต่ละวันเราจะต้องการซิงค์ ( สังกะสี ) ในปริมาณน้อย แต่ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับซิงค์ทุกวัน หน้าที่ของซิงค์ ที่สำคัญ คือ ช่วยสังเคราะห์ ดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ ซึ่งจะทำให้เกิดการแบ่งเซลล์และการเจริญเติบโตของเซลล์ ซิงค์( สังกะสี ) พบมากในอาหารประเภท เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ และอาหารทะเลโดยเฉพาะอย่างยิ่งหอยนางรม ซิงค์มีประโยชน์มากมาย เช่น - ต่อต้านอนุมูลอิสระ - ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง - ช่วยลดการเป็นหมัน - ช่วยบำรุงกระดูก ผิวพรรณ ช่วยเร่งการสมานตัวของแผล บรรเทาอาการผิวหนังอักเสบ - ใช้ในผู้ที่เป็นสิว ช่วยปรับความสมดุลความมันบนใบหน้าจากภายในร่างกายและยังช่วยลดอาการอักเสบของสิว - ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม - ทำให้เล็บที่เปราะมีความแข็งแรงขึ้น 5. Lycopene 10% / ไลโคพีน 10% ไลโคปีน (Lycopene) มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน คำว่า lycopersicum ซึ่งเป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์ บ่งบอกสปีชีส์ของมะเขือเทศ (Solanum lycopersicum) ไลโคปีนจัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ชนิดหนึ่งใน 600 ชนิด ละลายได้ดีในไขมันเช่นเดียวกับเบต้าแคโรทีน มีรงควัตถุ (pigment) สีแดง พบได้ทั่วไปในมะเขือเทศสุก ฝรั่ง (pink guava) แตงโม ส้ม มะละกอ แครอท ส้มโอสีชมพู ฟักข้าว (หรือ Gac furit มีสารไลโคปีน มากกว่ามะเขือเทศถึง 70 เท่า) และในผักผลไม้สีแดงต่างๆ (ยกเว้นสตรอเบอร์รี่และเชอร์รี่) แต่ไม่พบในสัตว์ ไลโคปีนที่พบมี โครงสร้างทางเคมี 2 แบบคือ trans – configuration และแบบ cis-isomer โดยในธรรมชาติจะพบไลโคปีนแบบ trans – configuration แต่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบ cis-isomer ได้เมื่อสัมผัสกับความร้อนหรือและสว่าง โดยในกระแสเลือดของคนเราพบไลโคปีนแบบ cis-isomer อยู่ถึง 60% เลยทีเดียว ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ไลโคปีนเองได้ ดังนั้นเราจึงต้องรับประทานไลโคปีนเข้าไปจากผักผลไม้ หรืออาหารเสริม โดยไลโคปีนจะไปกระจายอยู่ทั่วไปในเนื่อเยื่อบริเวณที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่พบการสะสมของไลโคปีนมากที่ต่อมหมวกไต ลูกอัณฑะ และตับ มีผลการวิจัยทางการแพทย์ที่ระบุว่าเมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณของไลโคปีนในร่างกายจะลดลง ส่งผลให้โอกาสในการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากไลโคปีนเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ที่มีความแรงมาก และมีส่วนสำคัญในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง กลไกการออกฤทธิ์ที่สำคัญคือเข้าไปจับกับอนุมูลอิสระ (Free radical) ในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการทำลายสายดีเอ็นเอ อันก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ไลโคปีนจะช่วยลดการก่อกลายพันธุ์ ทำให้สามารถยับยั้งวงจรชีวิตของเซลล์มะเร็งในช่วงต้น (ระยะ G1) และลดการเกิดเนื้องอกได้ เมื่อเทียบกับสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดอื่นๆ ไลโคปีนเป็นแคโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากมีโครงสร้างที่ต่อกันเป็นสายยาวกว่า ดังรายงานการศึกษาเปรียบเทียบผลในการต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลอง พบว่าไลโคปีนมีฤทธิ์ที่ดีกว่าเบต้าแคโรทีนและแอลฟาโทโคฟีรอลถึง 2 และ 10 เท่าตามลำดับ มีความเชื่อว่าไลโคปีนสามารถปรับระบบฮอร์โมนและภูมิคุ้มกัน ตลอดจนเมตาบอลิซึมในร่างกายได้ นอกจากนี้การรับประทานไลโคปีนในปริมาณสูงยังช่วยยับยั้งเอนไซม์สำคัญที่ใช้ สังเคราะห์โคเลสเตอรอล และเร่งสลายโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดีหรือ LDL (Low density lipoprotein) ที่มีส่วนทำให้เกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดแข็งตัวได้อีกด้วย 6. Calcium Ascorbate / แคลเซียม แอสคอร์เบต วิตามินแห่งชีวิต...Your Vitamin for Life วิตามิน ซี มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นกรด ฉะนั้นวิตามิน ซี ทั่วไปที่มีขายในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะอยู่ในรูปกรดแอสคอร์บิก ซึ่งธรรมชาติของความเป็นกรดย่อมระคายกระเพาะอาหาร นักวิทยาศาสตร์ จึงได้พยายามลดความเป็นกรดของวิตามิน ซี ลงโดยนำไปเปลี่ยนเป็นรูป เกลือแคลเซียมแอสคอร์เบต (Calcium ascorbate) ที่เราเรียกว่า การบัฟเฟอร์ (Buffer) กว่าร้อยปีที่วิตามิน ซี ถูกค้นพบ และรับประทานเพื่อเสริมสุขภาพกันอย่างกว้างขวาง ประสำคัญก็คือ วิตามิน ซี ที่อยู่ในรูปของเกลือแคลเซียมแอสคอร์เบตนั้น เป็นสารที่ออกฤทธิ์ที่รวดเร็ว และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี ซึ่งช่วยลดการทำลายอวัยวะหลักๆ เช่น หัวใจ และสมองจากอนุมูลอิสระ ช่วยทำลายสารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความแก่ โดยเพิ่มการสร้างคอลลาเจน และเหนือสิ่งอื่นใด ความสามารถในการเพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย เรามิอาจปฏิเสธได้ว่า ภูมิต้าน ทานที่ดีของร่างกายเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายที่ยังหาวิธีปราบไม่ได้ และภาวะบกพร่องอื่นๆ ของร่างกาย นอกจากนั้น วิตามินซีที่อยู่ในรูป เกลือแคลเซียม เวลาร่างกายเอาไปใช้จะแตกตัวเป็นประจุแคลเซียม และดูดซึม แคลเซียมได้ 40% อีกด้วย 7. Grape Seed Extract / สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และความยืดหยุ่นของโปรตีนคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอความแก่และลดความหยาบกร้านของเซลล์ผิว และสาร OPCs ยังมีคุณสมบัติเป็นสาร Antioxidant ช่วยต่อต้านการสร้างอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิว ช่วยลดกระบวนการสร้างเม็ดสี หรือ เมลานิน (Melanin) ที่ผิดปกติซึ่งเป็นสาเหตุของฝ้า กระ และลดปัญหาสีผิวไม่เสมอกัน สารสกัดจากเมล็ดองุ่นจะสามารถช่วยลดความเข้มของสีผิวบริเวณที่ดำคล้ำลง ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำให้ขนาดและสีบริเวณที่เป็นกระและฝ้า ดูจางลง ช่วยให้ผิวพรรณขาว สดใสเปล่งปลั่ง รวมทั้งป้องกันความเสียหายของผิวหนัง (Erythema) การที่ผิวมีรอยจ้ำเป็นสีแดงเนื่องจากการคั่งของเลือดในเส้นโลหิตฝอยใต้ผิวหนัง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของ Collagen เพิ่มความยืดหยุ่นของ Elastin และเพิ่มการสร้างเส้นใยผิวหนัง เส้นเอ็นปลายกล้ามเนื้อ และเอ็นยึดข้อต่อตลอดจนกระดูกอ่อน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตผ่านระบบหลอดเลือดฝอยไปทั่วร่างกาย ป้องกันเส้นเลือดฝอยแตก อันเป็นสาเหตุให้เกิดอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด และเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด ช่วยต่อต้านการสร้างอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด 8. Alpha lipoic Acid / กรดอัลฟ่าไลโปอิก กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid ; ALA) เรียกสั้นๆว่ากรดไลโปอิก หรือบางคนรู้จักในชื่อ Thioctic acid กรดอัลฟาไลโปอิก เป็นสารอาหารประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายวิตามิน โดยทำหน้าที่เป็น Coenzyme ในขบวนการเผาผลาญน้ำตาล และสารอาหารอื่น ๆ ให้เป็นพลังงาน โดยปกติ ร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ กรดอัลฟาไลโปอิคได้เองอยู่แล้ว ในปริมาณคงที่ ซึ่งร่างกายเราผลิตได้ในจำนวนที่เพียงพอ ต่อการช่วย ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) เปลี่ยนกลูโคสไปเป็นพลังงานเท่านั้น ไม่ได้ผลิตให้เหลือพอ ที่จะใช้ต่อต้านความเสื่อมชราของเซลล์ หรือเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย กรดไลโปอิค เป็นสารต้านออกซิเดชั่นที่ทรงพลัง ในการต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ที่ปรากฏอยู่ใน ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) ภายในเซลล์ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า อนุมูลอิสระภายใน ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) มีบทบาทสำคัญในการทำให้คนแก่ตัวลง จึงตั้งทฤษฎีว่า ถ้าให้สารยับยั้งออกซิเดชั่น อย่างกรดไลโปอิค ก็น่าชะลอความแก่ได้ กรดไลโปอิค ยังช่วยรีไซเคิลวิตามินอี และ วิตามิน ซี ให้กลับเป็นรูปเดิม หลังจากวิตามินอี และ วิตามินซี ไปล้างพิษอนุมูลอิสระเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังมีหลักฐานว่า ช่วยลดความเสียหาย เวลาร่างกายมีน้ำตาลในเลือดมากไป ซึ่งอาจทำให้คนไข้เบาหวานดีขึ้น สารนี้ก็กำลังอยู่ในระหว่างการวิจัยดูว่า จะชะลอความแก่ได้หรือไม่เนื่องจากกรดอัลฟาไลโปอิค มีบทบาทหลักในการย่อยเผาผลาญน้ำตาล ให้เป็นพลังงาน จึงมีผลช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาล มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีคุณสมบัติพิเศษสามารถละลายได้ทั้งในน้ำ และในไขมันได้ เป็นตัวที่ทำให้วงจร ของสารต้านอนุมูลอิสระครบสมบูรณ์ พบปริมาณน้อยในแหล่งอาหารธรรมชาติ ซึ่งพบได้ในผักขม บร็อกโคลี่ และยังพบในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ในเครื่องในได้จากตับและหัวใจ ประโยชน์ที่ได้รับ มีส่วนสำคัญในการเผาผลาญอาหาร โดยเฉพาะการเปลี่ยน Glucose เป็นพลังงาน เสริมการทำงานของวิตามิน E และ C ช่วยในการนำสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน C กลับมาใช้ ช่วยในการนำกลูโคสเข้าเซลล์ ปลอดภัยเมื่อได้รับในขนาดปกติ นอกจากนี้กรดอัลฟาไลโปอิก ยังได้รับการขนานนามว่าเป็น Universal Antioxidant เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรง และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินซี อี, Glutathione หรือ Co-enzyme Q10 ให้กลับมาอยู่ในรูปที่ใช้งานได้อีก หลังจากที่ใช้ในการกำจัดอนุมูลอิสระไปแล้ว ด้วยคุณสมบัติของกรดอัลฟาไลโปอิก คือ สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน สามารถซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปในชั้นลึกสุดของเซลล์ระดับ DNA จึงสามารถแทรกซึมไปชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ทั่วเซลล์ในร่างกาย ในขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น CoQ10 ที่ละลายได้เพียงในส่วนน้ำมันในร่างกาย ทำให้กรดอัลฟาไลโปอิคมีคุณสมบัติเหนือกว่า 4-5 เท่า และมีฤทธิ์แรงกว่า วิตามินอี และวิตามินซี 50 เท่า จากความสามารถที่เป็น Universal Antioxidant จึงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม กรดอัลฟาไลโปอิกเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย ซึ่งจะช่วยในการกำจัดสารพิษที่อยู่ในร่างกายได้เป็นอย่างดี และ กรดอัลฟาไลโปอิกยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานของกลูตาไธโอน ซึ่งมีหน้าที่ขจัดสารพิษในตับ นอกจากนี้ จากงานวิจัยบางส่วนยังพบว่า ยังต่อต้านการอักเสบที่ทำให้เกิดสิว ช่วยรักษาการอักเสบของสิว กรดอัลฟาไลโปอิกทำให้ผิวสะอาด โดยการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้นจึงสามารถป้องกันการเกิดสิว และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของเลือดไปยังประสาท ดังนั้นผิวก็จะได้รับสารอาหารที่จำเป็นในการบำรุง ช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสขึ้น 9. Pine Bark Extract / สารสกัดจากเปลือกสน Pine Bark Extract คือ สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ (Maritime Pine) มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pinuspinaster เป็นไม้สนที่ขึ้นในแถบตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของเมดิเตอเรเนียน ได้แก่ประเทศ โปรุเกส สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี และโมร็อคโค เป็นต้น เดิมทีชาวยุโรปได้นำเปลือกสนนี้มาใช้เป็นยาพื้นบ้านเพื่อรักษาอาการปวดบวม และลดการอักเสบอักเสบ ต่อมามีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากสนใจจึงนำเปลือกสนมาริไทม์นี้มาศึกษาวิจัยเพื่อหาคุณประโยชน์และสาระสำคัญ ที่อยู่ในเปลือกสน จนพบว่าสารสกัดจากเปลือกสนมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถมีผลช่วยบำรุงผิวพรรณได้ด้วย นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้จดสิทธิบัตรสารสกัดที่ได้จากเปลือกสนมาริไทม์ในชื่อ Pycnogenol ด้วยคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพดังกล่าวจึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่งในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในปัจจุบัน สารที่สกัดได้จากเปลือกสนมาริไทม์ คือ Proanthocyanidins เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง (Super Antioxidant) จะช่วยกำจัด อนุมูลอิสระ ที่เกิดขึ้นในร่างกายของเราได้ตลอดเวลา เกิดจากการหายใจ กระบวนการเผาผลาญในร่างกาย หรืออาจเกิดขึ้นเมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะที่ไม่ดี เช่น เมื่อเกิดความเครียด ได้รับประทานอาหารที่มีสารกันบูด ได้รับสารพิษจากยาบางชนิด และเมื่อได้รับรังสียูวีจากแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ยังรวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น ได้รับควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย ซึ่ง อนุมูลอิสระ ที่เกิดขึ้นจะไปทำอันตรายต่อเซลล์ร่างกายทำให้เกิดสาเหตุของโรคต่าง ๆเช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ(Hearth Disease) มีหลายงานวิจัยสนับสนุนว่า Proanthocyanidinsช่วยให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของคลอเรสเตอรอล LDL ช่วยให้หลอดเลือดมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น จึงสามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบหมุนเวียนโลหิต ป้องกันการเกิดภูมิแพ้ Proanthocyanidins มีความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ที่ใช้ในการสร้างสาร ฮิสทามีน (histamine)ซึ่งเป็นสารที่ถูกผลิตขึ้นใต้ผิวหนังแล้วทำให้เกิดอาการคัน และเกิดผื่นแดง เมื่อสร้างสารฮิสทามีนได้ลดลงก็ทำให้อาการแพ้ต่าง ๆ ลดลงด้วย ช่วยแก้ปัญหาสีผิวที่คล้ำเสีย การรับประทาน Pine bark extract จะช่วยลดปัญหาสีผิวที่คล้ำเกินไป เช่น บริเวณที่เป็นฝ้า กระ และจุดด่างดำที่เกิดจากเม็ดสีใต้ชั้นผิวทำงานผิดปกติเนื่องจากการถูกแสงแดดมากเกินไป นอกจากนี้ยังจึงมีคุณสมบัติเฉพาะที่ช่วยยับยั้งการสลายตัวของคอลลาเจน และอีลาสติน ที่เป็นโครงสร้างหลักของผิวหนัง จึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย อีกทั้งคุณสมบัติที่ทำให้เส้นเลือดยืดหยุ่นและแข็งแรงจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด คุณประโยชน์เหล่านี้ Pine bark extract จึงมักจะถูกนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารเสริมเพื่อบำรุงผิวนั่นเอง 10. Dry Vitamin E 50% / วิตามิน อี 50% Dry Vitamin E จาก ธรรมชาติ (d-Alpha Tocopheryl Succinate) ดูดซึมได้ดีกว่าวิตามิน อี แบบสังเคราะห์ 2 เท่า ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ทำให้แผลเป็นและรอยดำดูจางลง Vitamin E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม ป้องกันการเกิดออกซิเดชัน ของสารในกลุ่มไขมัน และช่วยเพิ่มการทำงานของวิตามิน เอ ประโยชน์ของ Vitamin E (วิตามิน อี) ช่วยให้แลดูอ่อนกว่าวัย โดยชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์อันเกิดจากปฎิกริยาออกซิเดชั่น ป้องกันการเกิดปฎิกริยาออกซิเดชันของคอเรสเตอรอลชนิดไม่ดี นำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อเพิ่มสมรรถภาพความทนทาน ปกป้องปอดจากมลพิษทางอากาศ โดยทำงานร่วมกับวิตามิน เอ และช่วยป้องกันมะเร็งหลายประเภท เพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับโรค ให้เมล็ดเลือดขาวช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมป้องกันและสลายลิ่มเลือดบรรเทาอาการอ่อนเพลียลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ป้องกันแผลเป็นหนานูน ทั้งภายนอก (เมื่อใช้เป็นยาทาจะสามารถซึมผ่านผิวหนังได้) และภายในเร่งให้แผลไหม้บริเวณผิวหนังหายเร็วขึ้น ทำงานคล้ายเป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยในการป้องกันภาวะแท้ง บรรเทาอาการตะคริวหรือขาตึง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และ อัมพฤกษ์, อัมพาต ลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะบุคลที่ต้องการบำรุงผิวพรรณ anti-aging ชะลอการเกิดริ้วรอยตามร่างกาย 11. Niacinamide / ไนอะซินาไมด์ เป็นส่วนประกอบของ Coenzyme ซึ่งเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาหลายอย่างในร่างกาย เช่น ช่วยในการแตกตัวของน้ำย่อย และใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรท ช่วยบำรุงสมองและประสาท รักษาสุขภาพผิวหนัง และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับ การสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และยังช่วยลดระดับ Cholesterol ในเลือด 12. Selenium Amino Acid Chelate / ซีลิเนียมอมิโนแอซิดคีเลต เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ดีโดยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเอนไซม์ กลูตาไธโอน เปอร์ออกซิเดส (Glutathione Peroxidase) ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด ช่วยเสริมการทำงานของวิตามิน อี เพิ่มประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ จึงช่วยชะลอความแก่ หรือกระแก่ ที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้ ช่วยลดอัตราเสื่อมของสมรรถภาพทางเพศหรือการเป็นหมันได้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัย ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ ควบคุมสุขภาพของสายตา ผิวหนัง และผม ทำงานได้ดียิ่งขึ้นหากใช้ร่วมกับวิตามินอี ป้องกัน เนื้อเยื่อถูกทำลายโดยสารเปอร์ออกไซด์จากไขมัน โดยวิตามินอี ทำหน้าที่ป้องกันการเกิดสารเปอร์ออกไซด์ ในขณะที่ซีลิเนียมทำหน้าที่กำจัดสารเปอร์ออกไซด์ที่เกิดขึ้นให้หมดไป
Posted on: Mon, 09 Sep 2013 08:56:28 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015