EPIC Review - The Hunger Games : Catching Fire ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกภาพยนตร์หนึ่งที่ฉันอยากดูมากที่สุดในปีนี้ ในภาคนี้ได้มีการเปลี่ยนผู้กำกับเป็น Francis Lawrence จาก I Am Legend และ Constantine ทั้งยังถูกวางตัวเป็น The Hunger Games: Mockingjay - Part 1 + 2 ด้วย ทำให้เกิดข้อสงสัยครั้งใหญ่ มันจะไปรอดปะวะ ไม่ใช่จะห่วยบรมดับกลางคันแบบ Twilight หรือไม่ก็คงเฉิดฉายแบบ Harry Potter และพอได้เข้าไปพิสูจน์ด้วยสายตาตัวเองแล้ว หนังเรื่องนี้เดินตาม Harry Potter แน่นอน ในด้านการถ่ายทำ หลายคนคงงงงวยจวยรัญจวน จากภาคแรกในฉาก Action ที่แทบจะดูไม่ออกว่ามันทำบ้าอะไรกัน ภาคนี้จะไม่มีสิ่งที่คุณกลัวเหล่านั้นอยู่เลย ฉาก Action ดูง่ายและสมจริงสุดๆ ทั้งยังมีรายละเอียดของฉากเช่นในป่า จะมีใบ้ไม้ ซึ่งมันสวยมากๆ เก็บรายละเอียดสมจริงสุดๆ การดำเนินเรื่อง ต้องยกนิ้วให้ผกก.อีกเช่นกัน เพราะช่างประสานรอยต่อของทั้งสองภาคได้อย่างแนบเนียน ไม่รู้สึกตะกุกตะกัก แต่อย่างใด ในด้านองค์รวมๆ จะคล้ายๆภาคแรก คือตอนแรกจะเนือยนิดๆ แต่ภาคนี้จะเติมดราม่าหนักๆลงไป ในองค์แรกด้วย ทำให้คนดูรู้สึกกดดันได้เป็นอย่างดี ถัดมา จะเป็นฉากช่วงเก็บเกี่ยว จากนั้นก็ตามแบภาคแรก และเข้าสู่ Arena ตัดเข้าสู่ความมันส์ต่อไป ทั้งยังรู้จักวางจังหวะที่จะใส่แต่ละซีนลงไป ดึงอารมณ์ร่วมของคนดู ทำให้คนดูติดเก้าอี้ไม่กล้าลุกไปไหน บางช่วงนี้แทบจะกลั้นหายใจลุ้นเลยทีเดียว ฉากเปิดตัวในรายการของตัวแคทนิส ทำได้ดีมาก รู้สึกอลังการ ตื่นตา ตกตลึง รู้สึกมีมนต์เล็กๆ และกับฉาก Climax ที่ทำให้ฉันเองซึ่งไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อน รู้สึกตกใจนิดๆได้ ซึ่งต้องขอชมตัวผกก.อีกเช่นกัน และแน่นอนฉากตอนจบจะทิ้งไปภาคต่อไป ในด้านการแสดง แทบจะทุกตัวละคร โดยเฉพาะฟินนิค และ โจแฮนน่า และ Plutarch ซึ่งแสดงโดย Sam Claflin , Jena Malone และ Philip Seymour Hoffman ตามลำดับ ในตัวฟินนิคอันีน้ไม่ต้องพูดถึงแค่มาก็หลงใหลแล้ว หล่อโฮก ด้านโจแฮนน่าทำได้ดีกว่าที่หวัง ทั้งอารมณ์ขัน การพูดประชดชัน และ Plutarch ที่หลอกคนดูได้อยู่หมัด แต่ก็ยังทิ้งปริศนาไว้ในตัวเขาเอง ซึ่งต้องชื่นชมความเทพในการแสดงของเขา ในด้านของ Josh Hutcherson หรือพีต้าของเรา ถือว่าอยู่ในระดับดีกว่ามาตราฐานดึงอารมณ์ึนดูได้ดี ทั้งความสงสาร ดราม่า หรือเคลิ้มไปกับความหล่อ นักแสดงคนอื่นๆก็ทำได้ตามมาตราฐาน ยกเว้น Jennifer Lawrence ที่เดี๋ยวจะยกไปพูดท้ายสุดของรีวิว ขอชมเป็นพิเศษกับ Suzanne Collins ที่สร้างเรื่องทุกอย่างขึ้นได้อย่างน่ามหัศจรรย์ การดำเนินเรื่องของเธอ มีการหลอกทำให้เราทายไม่ถูก ว่าต่อไปแคทนิสจะทำอะไร ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นนะ ซึ่งต้องขอขอบคุณตัวผกก.ที่ถ่ายทอดได้อย่างน่าทึ่ง และขอให้ทั้งสองคนทำผลงานดีๆออกมาอีกคะ ในด้านดนตรีประกอบ ช่วยยกระดับในเรื่องได้จริงๆรู้สึกตื่นเต้นและตราตรึง และนอกจากนั้นยังมีเพลงที่เหมือนจะไม่ได้เอาไปใช่ในเรื่องแต่ฉันชอบมากเพลงนั้นคือ Silhouettes ของ Of Monsters and Men และ Atlas ของ Coldplay และ We remain ของอิติ๊ด้วย หลังดูจบหลายคนจะเกิดอาการแบบ Catching Fire Fever อยากดูภาคต่อไปจนใจจะขาด และเกิดอาการอยากกลับไปดูอีกรอบ ซึ่งก็ถือเป็นความประสบความสำเร็จของหนังเช่นกันแหละ The Hunger Games : Catching Fire เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ฉันดูแล้วไม่ผิดหวัง กับการรอคอย ซ้ำยังทำได้ดีกว่าที่คิด และดีกว่าภาคหนึ่งมากๆ แม้ว่าจะไม่ได้สมบูรณ์แบบไปหมด และต้องโคตรขอแสดงความเสียใจกับคนที่ไม่คิดจะไปดู เพราะนี้คือหนังเรื่องหนึ่งที่ทำออกมาได้ดี แม้จะไม่ดีที่สุด แต่มันก็เทียบกับภาพยนตร์เริ่ดๆเช่น Harry Potter ได้อย่างไม่น่าอาย และสมภาคภูมิมาก ส่วนตัวแนะนำให้ไปดูในระบบ IMAX เพราะเค้าบอกว่าสุดยอดมาก แต่ตัวฉันเองดูในระบบ Digital ธรรมดา เพราะเหตุผิดพลาดบางประการ และยังเสียดายจนถึงตอนนี้ T^T Score : 9/10 [ไปดูสะเถิดแล้วจะเกิดความสุข] สำหรับการแสดงของ Jennifer Lawrence ในเรื่องมีหลายจุดที่ให้เธอได้โชว์ความสามารถทั้งด้านการแสดงและอารมณ์ ซึ่งให้ตายเหอะ เธอทำได้ดีกว่าที่คาดมากๆ มันเป็นหนึ่งในบททดสอบที่ได้พิสูจน์แล้วว่าไอ Oscars ที่คว้ามาไม่ได้ใช้เพราะความฟลุค แต่เป็นเพราะความสามารถของเธอเอง ! ในเรื่องเราจะเห็นพฒนาการความสวยของแคทนิส ที่ไม่รู้ว่าเพราะพึ่งชนะจาก Hunger game มาหรือเพราะรัศมีความสวยเปล่างหลั่งจากตัวเธอเองกันแน่ ----------------------------------------------------------------------- ด้านล่างเป็นการ Review ตอนจบ แบบสปอยด์เพียงเล็กน้อย ไม่ต้องอ่านก็ได้ ในตอนจบหลายคนบอกว่าทิ้งไว้ค้างคาๆจนน่าเกลียด ในความคิดของฉันคิดว่าตอนจบไม่ได้ทำซั่วๆ แต่สายตาของแคทนิสก็บอกเราแทนคำพูดว่ามีความมหมายว่าอย่างไร ไม่ใช่ซั่วๆแน่นอน และสื่อไปถึงภาคต่อไปได้อย่างดี ดึงคนดูให้ติดตาม และมันก็ได้ผลไม่ใช่หรอ ?
Posted on: Sat, 23 Nov 2013 11:57:37 +0000
Trending Topics
© 2015