วิกฤตการณ์ แม็คบุ๊คโปร - TopicsExpress



          

วิกฤตการณ์ แม็คบุ๊คโปร ตอนที่ 2 (MacBook Pro Crisis PART 2) #โครงการคอมหายได้คืน สวัสดีครับ จากที่ตอนที่แล้วได้เล่าถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์และความรู้สึกจริงของผมในช่วงนี้ วันนี้ผมจะมาเล่าถึง "ความหวังครั้งใหม่ กับการตามล่าครั้งใหญ่ในวันสอบ" เวลาผ่านไปนับได้ 2 เดือนกับอีก 2 วัน วันนั้นวันอังคารที่ 24 กันยายน เทศกาลสอบปลายภาคได้เข้ามาถึงพอดี ผมอยู่โดยที่ไม่มีคอมเครื่องเดิมมาได้แบบที่แม้จะไม่ยินดี แต่ก็ต้องอยู่ให้ได้ หลังจากสอบไฟนอลวิชา EAP เสร็จ ในช่วงบ่ายก็ได้ไปอ่าน ICT ต่อที่หอกลาง ระหว่างที่อ่านใกล้จบก็ได้เปิดเช็คทวิตเตอร์ตามปกติ แล้วสะดุดตากับทวีตนึง "ตร.ปทุมวันแถลงรวบแก๊งทุบกระจกรถฉกทรัพย์" ณ วินาทีนั้น ใจรู้สึกมีหวังขึ้นมาอีกครั้ง และภาวนาให้ตัวเองโชคดี หลังจากอ่าน ICT จบก็ได้แยกย้ายกับเพื่อน และตรงไปสน.ปทุมวันทันที เมื่อไปถึงก็ได้เข้าไปถามที่ห้องฝ่ายสืบสวนสอบสวนเพื่อขอทราบรายละเอียดของโจรที่จับได้วันนี้ที่งัดรถรอบจุฬาฯ ซึ่งก็ได้ความว่าชื่อนายเพิ่มยศ หรือจุ๊บ ราชคม อายุ 43 ปี ตอนนี้ถูกส่งตัวไปศาล และเข้าคุกไปแล้ว เราก็ถามต่อว่าพอมีของกลางบ้างมั้ย คำตอบที่ได้ก็คือไม่ เพราะไอ้โจรร้ายนี้ถ้าได้ของมาจะเอาไปขายแถวคลองถม และตลาดสะพานพุทธเลย ไปค้นห้องที่มันอยู่ก็ไม่มีของอยู่เลย จากนั้นเลยได้ไปหาร้อยเวรเจ้าของคดีเพือปรึกษาว่าพอจะเอาเรื่องอะไรได้มั้ย ซึ่งก็ได้ความว่าไม่ได้ เนื่องจากเราไม่มีหลักฐานอะไรที่จะสามารถยืนยันได้ว่ามันเป็นคนทำ และก็ได้เอารายละเอียดภาพและชื่อคนร้ายให้ดู พร้อมบอกว่ามีคนเอาเรื่องได้แค่ 10 คน เพราะมีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ เมื่อเห็นภาพคนร้าย ก็ทำให้เรานึกกลับไปถึงวันนั้นตอนที่เราจอดรถเสร็จ ซึ่งจำๆได้ลางๆว่ามีคนแก่ๆหน้าตาคล้ายๆคนในภาพนั่งอยู่บนท้ายมอเตอร์ไซต์ใกล้ๆรถเราพอดี นอกจากนี้ ในรายละเอียดก็ยังบอกว่าคนร้ายรายนี้ใช้จักรยานยนต์ในการก่อเหตุด้วยหล่ะสิ แต่ยังไงก็เถอะ แม้เราจะมั่นใจแค่ไหนว่าโจรรายนี้เป็นคนงัดรถเราไปจริง แต่ถ้าเราไม่มีหลักฐานยืนยันก็คงยากที่จะเอาเรื่อง และที่ยากกว่าคือโจรมันเข้าคุกไปแล้ว ถ้าจะไปแจ้งข้อหาเพิ่มจะยากและวุ่นวาย ด้วยเหตุนั้นแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็คือผิดหวังกลับบ้านไปอีกครั้ง แต่ก็ได้ฝากเรื่องและทิ้งเบอร์เราไว้กับร้อยเวรเจ้าของคดีไว้เผื่อจะสามารถไปสอบสวนโจรเพิ่มในคุก ซึ่งก็คงเป็นไปได้ยากมาก เป็นการผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าที่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปเช่นเดียวกับการสอบปลายภาค ต่อมา ในคืนวันจันทร์ที่ 30 กันยายน (หรือเช้ามืดวันที่ 1 ตุลาคม) สิ้นสุดเดือนกันยายนแล้ว กับสอบปลายภาคที่เหลืออีกเพียงวิชาเดียวคือ GEN PSY หลังจากนั่งอ่านตั้งแต่เย็น ถึงตี 2 กว่าๆ พออาบน้ำเสร็จ และเตรียมตัวนอนตอนประมาณตี 3 ก็ได้นอนเล่นไอโฟนไปตามปกติ ซึ่งก็ได้จิ้มเข้าแอพ Mail เพื่อเช็คเมล์ ปรากฎว่ามีอีเมล์ใหม่เข้ามา โดยชื่อผู้ส่งคือ Find My iPhone และมีหัวข้อว่า "Pitchapong Kasemsant’s MacBook Pro has been locked." ความรู้สึก ณ ตอนนั้นคือหัวใจเต้นแรงขึ้นมาก และเป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่ามีความหวัง และความหวังครั้งนี้ก็ดูจะมากกว่าครั้งก่อนด้วย ผมไม่รีรอที่จะเปิดแอพ Find My iPhone เพื่อดูสถานะของ MacBook Pro เรา ระหว่างที่รอโหลดความรู้สึกคือนานเหมือนเป็นชั่วโมง และสิ่งที่ปรากฎอย่างแรกก็คือภาพแผนที่ที่ระบุพิกัดเป็นตึกแถวย่านเพชรบุรี ซอย 10 เมื่อจิ้มเข้าไปดูรายละเอียดก็พบว่าเครื่องต่อเน็ต และถูกเสียบชาร์จอยู่ ใจตอนนั้นอยากเปลี่ยนชุดและขับรถออกไปตามเอาคืน ณ ตอนนั้นเลยแต่ก็พบว่าถ้าออกไปตอนนี้ก็คงทำไรไม่ได้มากอยู่ดี เมื่อนั้นแล้วต้องสูดหายใจลึกๆ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 8:45 และพยายามหลับ คืนนั้นก็เป็นอีกคืนที่หลับยากมาก มีความคิดมากมายผ่านเข้ามาในหัว "เราจะได้คืนมั้ย" "พรุ่งนี้เครื่องจะยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า" "เครื่องเราอยู่ในตึกที่เป็นอพาร์เมนต์หรือคอนโดหรือเปล่า" แต่สุดท้ายผมก็ข่มใจให้หลับเพื่อตื่นขึ้นมาสู้กับวันพรุ่งนี้ที่รอเราอยู่ สิ้นเสียงนาฬิกาปลุกชุดแรก ผมคว้าไอโฟนมาเปิดแอพ Find My iPhone ทันที และขอบคุณสวรรค์ MacBook Pro ของเรายังอยู่ที่เดิม และยังออนไลน์อยู่ จากนั้นผมจึงได้โทรหาร้อยเวรเจ้าของคดี และเล่ารายละเอียดให้ฟัง ซึ่งเขาก็ดูเข้าใจ และได้บอกให้ไปที่สน. ติดต่อที่ห้องฝ่ายสืบสวนสอบสวน เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และอ้างชื่อเขาได้เลยว่าเป็นคนบอกให้มาเพราะ ณ ตอนนั้นเขาติดออกไปประชุมที่บช.น. (กองบัญชาการตำรวจนครบาล) ซึ่งจะไม่อยู่สน. ทั้งวัน ดังนั้นผมก็จึงไม่รีรอที่จะตรงไปสน.ทันที เมื่อไปถึงสน. ก็ได้ไปที่ห้องฝ่ายสืบสวนสอบสวน และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ซึ่งพี่ๆตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนก็ดูให้ความสนใจดี ผมได้เอาไอโฟนที่เปิดแอพ Find My iPhone ที่ระบุตำแหน่งของ MacBook Pro ผมให้ดู พร้อมอธิบายรายละเอียดให้เข้าใจ อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับแผนที่แล้ว เพชรบุรี ซอย 10 นั้นไม่ได้อยู่ในท้องที่ของสน.ปทุมวัน แต่คำตอบที่ได้คือ "ไม่เป็นไรครับ ไปดูกันเลย" . . . นี่สิ ตำรวจเพื่อประชาชนที่ผมรอคอย พี่ๆตำรวจทีมสืบสวนสอบสวน 4 นายได้ขี่มอเตอร์ไซต์ออกมารับที่หน้าสน.และตรงไปเพชรบุรีซอย 10 ผมถือไอโฟนไว้ในมือตลอดเวลา จุดหมายเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย จาก 100 เมตร เหลือ 50 เมตร เหลือ 10 เมตร และ ... หยุด ผมมาหยุดอยู่หน้าห้องแถวใกล้ปากซอยเพชรบุรี 10 ด้านหน้าของผมคืออพาร์ตเมนต์ชื่อ Diamond Bangkok ที่อยู่ติดกันถัดมาคือตึกแถว 5-6 คูหา ฝั่งนึงติดกับอพาร์ตเมนต์อีกฝั่งนึงติดกับซอย ซึ่งพิกัดบนแผนที่ระบุว่า MacBook Pro ของผมอยู่ในตึกแถว 2-3 คูหาแรกที่ติดกับอพาร์ตเมนต์ ซึ่งพบว่าตึกแถว 2 คูหาแรกนั้นก็เป็นร้านขายมือถือมือสองด้วยสิ ผมจึงค่อนข้างแน่ใจว่ามันต้องอยู่ในร้านนี้แน่ๆ แต่เมื่อได้เข้าไปถามว่ามีคอมขายมั้ย คนขายก็บอกว่าไม่มี พี่ๆตำรวจก็ได้เข้าไปถามอีกรอบ แต่คนขายก็ยืนยันคำเดิม และก็ดูไม่มีท่าทีมีพิรุธใดๆ จะเข้าไปค้นในร้านก็ไม่ได้ เพราะไม่มีหมายศาล . . . ผมเริ่มลำบากใจอีกครั้ง ถัดจากร้านมือถือ 2 คูหาแรกก็เป็นร้านขายผ้า ร้านขายของชำ และร้านขายอะไรอีกสักอย่าง ซึ่งผมได้หยุดเดินก่อน และปล่อยให้พี่ๆตำรวจเดินนำไปสำรวจร้านบริเวณนั้นก่อน ณ นาทีนั้น ผมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า MacBook Pro ของผมต้องอยู่ในตึกแถวคูหาใดคูหาหนึ่งแน่นอน และภาวนาไม่ให้มันไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์ข้างๆ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วโอกาสได้คืนก็คงเท่ากับ 0 เมื่อนั้นที่ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว จึงได้ตัดสินใจเปิดแอพ Find My iPhone บนไอโฟนอีกครั้ง และกดสั่ง Play Sound เพื่อให้ MacBook Pro ของผมเล่นเสียงออกมา ซึ่งผมได้กดไปรัวๆกว่า 23 ครั้ง สลับกับการพนมมือขอปาฏิหารย์ . . . หลังจากนั้น ผมก็ได้พบว่าพี่ๆตำรวจ 2 นายที่ได้เดินนำไปก่อนหยุดอยู่ตรงหน้าร้านขายโทรศัพท์มือถือมือสองอีกร้าน ซึ่งอยู่ตึกแถวคูหาสุดท้ายฝั่งที่อยู่ติดซอย และทำท่าเหมือนกำลังคุยกับคนขายอยู่ ผ่านไป 5 นาที พี่ตำรวจนายหนึ่งได้ส่งสัญญาณเรียกผม ผมจึงได้เดินไปหน้าร้าน ในจังหวะที่ผมเดินไปถึงหน้าร้าน คนขายที่เป็นเจ้าของร้านได้เดินออกมาจากหลังร้าน พร้อมแบก MacBook Pro พร้อมที่ชาร์ตของผมออกมาพอดี . . . ผมไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบายความรู้สึก ณ วินาทีนั้น แต่มันเป็นความรู้สึกที่ตกใจ ดีใจ และตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เหมือนได้เจอสิ่งที่คิดว่าจะไม่มีวันได้เจออีกแล้วในชีวิตอีกครั้ง สิ่งแรกที่ทำคือรีบพลิกดูด้านหลังของ MacBook Pro และก็พบว่า Serial Number นั้นคือเครื่องของผมเอง . . . ปาฏิหารย์มีจริง เมื่อนั้นแล้ว พี่ๆตำรวจก็จึงได้สอบสวนเบื้องต้นเจ้าของร้านตามขั้นตอนไป ซึ่งได้ความว่ารับซื้อมาในราคา 15,000 (ไอ้เหี้ย กูซื้อมา 59,000) และไม่ได้ลงบันทึก หรือเก็บสำเนาบัตรประชาชนไว้ เมื่อได้ถามถึงรูปพรรณสัณฐานคนที่มาขายเขาก็บอกว่ามีรอยสักเต็มตัว ซึ่งหลังจากนั้นตำรวจก็ได้เชิญเจ้าของร้านไปให้ปากคำที่โรงพักต่อ เพราะเข้าข่ายรับซื้อของโจร เมื่อกลับมาถึงสน. พี่ๆตำรวจก็ได้สอบปากคำผม และเจ้าของร้านมือถือเพิ่ม ซึ่งเขาก็เล่าว่าตอนที่รับซื้อไว้ประมาณหลายอาทิตย์ก่อน และก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะไม่มีความรู้เรื่องคอมเท่าไหร่ เมื่อมาเปิดดูก็เห็นครั้งแรกก็เห็นว่าติดล็อครหัสอยู่ แต่คนที่มาขายก็บอกว่าก่อนหน้านี้ใช้ได้ปกติ พึ่งมาติดล็อควันนี้ ล้างเครื่องใหม่หายก็เลยเชื่อ และรับซื้อไว้ ส่วนที่ไม่ได้ลงบันทึก หรือเก็บสำเนาบัตรประชาชนคนที่มาขายไว้ก็เพราะตอนที่รับซื้อใกล้ปิดร้านแล้ว และอยากรับซื้อไว้ให้จบๆ (ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่า) จึงทำให้โดนข้อหารับของโจรไปตามระเบียบ ต่อมา ตำรวจได้เอารูปของโจรคนนั้น (จุ๊บ ราชคม) ให้ดู เจ้าของร้านมือถือก็บอกว่า "ใช่ คนนี้แหละที่เอามาขาย" . . . เสร็จกู โดนไปอีกคดีนะมึง หลังจากนั้นเราให้ปากคำเพิ่มกับพี่ๆตำรวจ และเซ็นเอกสารส่วนหนึ่งเพิ่มแล้ว ก็ได้ขอออกมาก่อน และกล่าวขอบคุณ เพราะตอน 13:00 มีสอบ GEN PSY และเวลาตอนนั้นก็เที่ยงกว่าๆแล้ว โดยเราจะต้องเข้ามาอีกทีเพื่อเข้ามาให้ปากคำกับร้อยเวรเจ้าของคดีเราอีกครั้ง เพื่อสรุปสำนวนก่อนส่งให้ศาลเพื่อปิดคดี และรับคอมคืน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (4 ตุลาคม) ผมก็ได้เข้าไปให้ปากคำกับร้อยเวรเจ้าของคดีเรา และรับคอมคืนเป็นที่เรียบร้อยเป็นอันจบเรื่องจบราวอันยาวนานนี้สักที ซึ่งนับเป็นเวลา 2 เดือนกับอีก 9 วันที่ได้ผ่านทั้งช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิตมา ช่วงที่เรามีความหวัง และผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และช่วงที่เรามีหวัง และสมหวังในที่สุด จากเรื่องราวทั้งหมดในตอนที่ 2 นี้ทำให้ผมได้ข้อคิดอยู่หลายข้อเช่นกัน 1. เมื่อเวลาผ่านมาแล้ว และมองกลับไปก็จะพบได้ว่ามันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะสุดท้ายเราก็อยู่ได้ มันอาจไม่เหมือนเดิม และเจ็บทุกครั้งเมื่อคิดถึงมัน แต่ที่สุดแล้วเราก็ต้องทำใจให้ได้ 2. ชีวิตคนเรายังมีความหวังเสมอ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเราจะพบกับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ถ้าเราไม่ยอมแพ้ และปฏิเสธความหวังครั้งใหม่ที่เข้ามา ผมก็เชื่อสักวันเราก็จะสมหวัง 3. เทคโนโลยีเป็นสิ่งมีประโยชน์มากหากเราใช้มันเป็น และไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เราจะศึกษา และทำความเข้าใจมัน เพราะที่สุดแล้วมันก็อาจเป็นที่พึ่ง และความหวังสุดท้ายสำหรับเราก็เป็นได้ 4. ตำรวจดีๆยังมีอยู่จริง ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงอยู่ที่โชคเราด้วยว่าจะเจอแบบไหน สิ่งที่ต้องเข้าใจไว้อย่างหนึ่งคือตำรวจประเทศเราไม่ได้มีประสิทธิภาพ และจำนวนมากพอที่จะช่วยทุกคดี ที่สำคัญตำำรวจไทยโง่เทคโนโลยีมาก เพราะจากที่คุยกับร้อยเวรเจ้าของคดีเราเองเขาก็บอกเลยว่าทุกวันนี้คอมเพื่อพิมพ์งานเป็นก็เก่งแล้ว สมัยก่อนใช้แต่พิมพ์ดีด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เป็นแบบนี้ ทุกวันนี้คงจะไม่ผิดว่าประชาชนต้องพึ่งตัวเองกันส่วนหนึ่งแล้ว และมาเจอกับตำรวจที่ครึ่งทางเพื่อสานต่อ เพราะหากเราไม่คิดจะทำอะไร และหวังพึ่งตำรวจอย่างเดียว แล้วมาด่าว่าตำรวจไม่ได้เรื่องก็คงจะไม่ถูกสักเท่าไหร่แล้ว และนี่ก็คือทั้งหมดของ "วิกฤตการณ์ แม็คบุ๊คโปร ตอนที่ 2" ซึ่งในครั้งนี้ก็พิมพ์สดๆเช่นเคย อาจจะมีพิมพ์ผิด ตกหล่น และใช้คำแปลกๆบ้าง ซึ่งหากไรอะไรออกจะมาเขียนแก้เพิ่มทีหลัง หากใครมีข้อสงสัยอะไรสามารถถามมาได้ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาทั้ง 2 ตอนจนจบ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ ขอให้ทุกคนโชคดี และใช้ชีวิตอย่างที่สติกันทุกนะครับ สวัสดีครับ. ป.ล. อาทิตย์หน้า ผมตั้งกระทู้เล่าเรื่องใน Pantip ซึ่งจะมีภาพประกอบด้วย แต่คงต้องมาเกลาคำ และตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออก ยังไงถ้าตั้งแล้ว อย่าลืมติดตามและช่วยกันแชร์ด้วยนะครับ
Posted on: Sat, 05 Oct 2013 18:24:16 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015