JAS ธรรมาภิบาลบกพร่อง - TopicsExpress



          

JAS ธรรมาภิบาลบกพร่อง เกิดอะไรขึ้นกับ JAS ปิด ข่าวร้ายมา 73 วัน กรณีศาลฎีกายกเลิกสั่งฟื้นฟูกิจการโดยไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของ บริษัทฯ เป็นการกลับคำพิพากษาของศาลล้มละลายกลางที่ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแผน ฟื้นฟูกิจการไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2546 ซึ่งศาลศาลฎีกาได้มีคำสั่งออกมาตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค. 56 แต่ JAS เพิ่งแจ้งข่าวดังกล่าวต่อตลท. เมื่อ30 ต.ค. 56 ที่ผ่านมา เรื่องนี้สะท้อนว่า JAS มีธรรมาภิบาลบกพร่องหรือไม่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. ในฐานะผุ้คุมกฎ ควรจะเข้าไปดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ขณะที่ JAS มีการระดมทีมที่ปรึกษากฎหมาย ชี้ความเสียหายไม่เกิน 1,343 ล้านบาท ฟาก มุมมอง โบรกฯ วิเคราะห์สถานการณ์นี้ ว่า จำนวนเงินขอคืนหนี้ที่ Haircut จะไม่มากกว่าจำนวน 1,343 ล้านบาท และอาจจะไม่มีการตั้งสำรองต่างๆ รวมทั้งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายเพียง 0.19 บาทต่อหุ้น แต่ปัจจัยนี้จะกดดันราคาหุ้น JAS ในระยะสั้น โดยในระยะยาว JAS ยังมีแรงหนุนจากการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน แนะซื้อ 10.70 บาท นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล JAS เผย ว่า เมื่อ 19 ส.ค.56 บริษัทฯได้รับทราบคำพิพากษาของศาลฎีกาเกี่ยวกับการไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟู กิจการของบริษัทฯ (แผนฟื้นฟูกิจการ)และให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการซึ่งเป็นการกลับคำ พิพากษาของศาลล้มละลายกลางที่ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการไว้ ตั้งแต่ 7 ส.ค.46 บริษัทฯ จึงได้ส่งเรื่องไปให้ที่ปรึกษากฎหมายของบริษัทฯ คือ บริษัท วีระวงค์,ชินวัฒน์ และเพียงพอ จำกัด (ที่ปรึกษากฎหมาย)พิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับผลกระทบของคำ พิพากษาฎีกาที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทฯ ที่ ปรึกษากฎหมายได้ทำการศึกษาคำพิพากษาของศาลฎีกา คำพิพากษาของศาลล้มละลายกลาง แผนฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งเอกสารที่บริษัทฯ ได้จัดส่งให้เกี่ยวกับจำนวนหนี้และการชำระหนี้ในรูปแบบต่างๆกันและมูลค่าของ หุ้นหรือทรัพย์สินอื่นๆ ที่ได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้วตามข้อกำหนดของแผนฟื้นฟูกิจการตลอดจนได้เข้า ร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริง เพิ่มเติมหลายครั้ง และได้จัดส่งความเห็นกฎหมายให้แก่บริษัทฯ เมื่อ วันที่ 30ต.ค. 56 ซึ่งสรุปได้ว่าคำพิพากษาของศาลฎีกามีผลทำให้แผนฟื้นฟูกิจการตลอดจนคำสั่งให้ ได้รับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีผลผูกพันเจ้าหนี้และบริษัทฯ ดัง นั้น สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่มีต่อบริษัทฯในฐานะลูกหนี้จะกลับไปเป็นเช่น เดิมดังที่เป็นอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ คือ 17 ก.ย.45 แต่โดยที่เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ไปแล้วในรูปแบบต่างๆ กัน ตามข้อกำหนดของแผนฟื้นฟูกิจการเช่น ชำระด้วยเงิน ชำระด้วยการโอนหุ้นหรือทรัพย์สินอื่นๆ และชำระด้วยการแปลงหนี้เป็นทุนซึ่งเมื่อนำหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างๆมา ปรับใช้และทำการประเมินมูลค่าทรัพย์สินตามราคาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้วที่ ปรึกษากฎหมายมีความเห็นว่าเจ้าหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟู กิจการจะสามารถเรียกร้องให้บริษัทฯ ชำระหนี้เพิ่มเติมให้แก่ตนได้ ณ วันที่ทำความเห็นกฎหมายรวมจำนวนไม่เกิน 1,343 ล้านบาท ที่ ปรึกษากฎหมายได้ให้ความเห็นด้วยว่าเนื่องจากระยะเวลาได้ผ่านมานานมากแล้ว การที่บริษัทฯ จะต้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รายหนึ่งรายใดหรือไม่และเพียงใดนั้นจะขึ้นอยู่ กับว่ามีเจ้าหนี้มาแสดงตนและแสดงสิทธิของตนจนบริษัทฯ เชื่อว่าเป็นเจ้าหนี้ตามจำนวนที่กล่าวอ้างแล้วหรือไม่เท่านั้นซึ่งหากยังมี ข้อโต้แย้งไม่เห็นพ้องต้องกันไม่ว่าในประเด็นใดๆก็เป็นกรณีที่จะต้องนำ เรื่องเข้าสู่การพิจารณาเพื่อหาข้อยุติกันในศาลแพ่งต่อไป บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เปิดเผยว่า จากการสอบถาม CFO ของ JAS ได้ ข้อมูลว่าจำนวนเงินขอคืนหนี้ที่ Haircut จะไม่มากกว่าจำนวน 1,343 ล้านบาท และในด้านงบการเงินอาจจะไม่มีการตั้งสำรองต่างๆ ขึ้น เนื่องจากจำนวนเงิน 1,343 ล้านบาท มีเจ้าหนี้หลายราย ซึ่งไม่ได้จ่ายครั้งเดียวเป็นก้อน ขึ้นอยู่กับว่ามีรายใดมาขอใช้สิทธิ์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ และมีการบันทึกเป็นรายๆ ไปเมื่อจ่ายจริง ซึ่งสุทธิอาจต่ำกว่า 1,343 ก็ได้ แต่จะไม่เกินนี้ และไม่มีการคิดดอกเบี้ยย้อนหลังด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า (JAS)แจ้ง ข่าว การรับทราบ คำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ไม่เห็นชอบกับแผนฟื้นฟูกิจการและให้ยกเลิกคำสั่งฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเป็นการกลับคำพิพากษาของศาลล้มละลายกลางที่ได้ให้ความเห็นชอบกับแผน ฟื้นฟูกิจการไว้ตั้งแต่เมื่อ สิงหาคม 2546 ทั้งนี้ที่ปรึกษาทางกฏหมายได้ประเมินความเสียหายไว้อย่างมากไม่เกิน 1,343 ลบ. เป็นคดีความสืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงที่ JAS ปรับปรุงกิจการช่วงปี 45-46 โดยในครั้งนั้น JAS ได้รับความเห็นชอบจากศาลล้มละลายกลางให้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ และได้การอนุมัติแผนจากเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ ซึ่ง JAS ได้ ทำตามแผนฟื้นฟูฯ เสร็จสิ้นไปแล้ว แต่มีเจ้าหนี้จำนวนหนึ่งซึ่งไม่เห็นด้วยและนำเรื่องนี้เข้าสู่ศาลฎีกา และนำมาซึ่งการพิพากษากลับดังกล่าว แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ดีเรามองว่าปัจจัยนี้มีผลต่อมูลค่าหุ้นไม่มากนัก เนื่องจาก JAS ได้ ชำระหนี้สินตามแผนฟื้นฟูจนครบแล้ว แต่อาจจะมีภาระเพิ่มเติมจากการ Hair Cut ครั้งนั้น โดยที่ปรึกษาทางกฏหมายประเมินความเสียหายไว้ไม่เกิน 1,343 ลบ. ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายเพียง 0.19 บาทต่อหุ้น โดยเราปะเมินว่า JAS อาจ ต้องตั้งรายการดังกล่าวเป็นหนี้สินในงบดุล และตั้งรายการสำรองในส่วนของ Equity ซึ่งจากมุมมองที่ว่ากรณีคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวเป็นเพียงปัจจัยลบระยะสั้น และมีผลไม่มากนัก เราจึงมองว่าการอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะในการเข้า ซื้อ อิงมูลค่าเหมาะสมปี 57 ที่ปรับด้วยปัจจัยลบดังกล่าวแล้ว ที่ 10.70 บาท โดยมีประเด็นบวกจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นปัจจัยผลักดันราคาหุ้นในระยะถัดไป บล. เคเคเทรด แนะซื้อ (JAS) ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท/หุ้น ทั้งนี้ผลกระทบมีทางเลือกแสดงผลกระทบไม่ผ่านงบการเงิน ประเด็นนี้เป็นแผนฟื้นฟูของบริษัทและบริษัทย่อย (จัสมิน โอเวอร์ซีล์) ที่ผิดชำระตามการปรับโครงสร้างหนี้ฯ เมื่อ ธ.ค.2544 และ มิ.ย.2545 มูลหนี้รวม 42.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1,343 ล้านบาท (อิงอัตราแลกเปลี่ยน 31.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) เรามองว่าบริษัทมีทางเลือกแสดงผลกระทบแบบไม่ผ่านงบการเงิน โดยเปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินเพิ่มเติม (Off balance sheet) อย่างไรก็ตามกรณีต้องชำระหนี้บริษัทประเมินจะมีจำนวนไม่เกิน 1,343 ล้านบาท คิดเป็นผลกระทบต่อหุ้น 0.19 บาทต่อหุ้น และอาจเป็นไปได้ที่การชำระหนี้จะยืดเยื้อและต้องไปชี้ขาดชั้นศาลฯ ไม่กระทบการออกกองทุนฯ JAS เตรียม เสนอมติการขายทรัพย์สินและจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 5-7 หมื่นล้านบาทเพื่อขออนุมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นฯ เมื่อวันที่ 25 พ.ย.นี้ ปัจจุบันบริษัทที่ปรึกษาการเงินอิสระอยู่ระหว่างการตีมูลค่ายุติธรรม ทรัพย์สินฯ ที่ขายเข้ากองทุน คงมูลค่าเหมาะสม 10.50 บาท ปัจจัยพื้นฐาน JAS เรา ยังไม่รวมผลจาก IFF มองว่าการเกิดหน้าจัดตั้งกองทุนฯ เป็นปัจจัยบวกและมีโอกาสที่บริษัทจะจ่ายเงินปันผลพิเศษจากกำไรที่เกิดขึ้น ส่วนประเด็นคำพิพากษาศาลฎีกาฯ มองเป็นผลกระทบเชิง Sentiment และมีผลกระทบจำกัด เราคงมุมมองบวกต่อการเติบโตของผลการดำเนินงานและประเมินมูลค่าเหมาะสมปีนี้ 10.50 บาท แนะนำ ซื้อ บท วิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ศาลฎีกายกเลิกคำสั่งฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลางที่พิพากษาไปตั้งแต่ปี 2546 ส่งผลให้สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่มีต่อ JAS ใน ฐานะลูกหนี้จะกลับไปเป็นเช่นเดิมดังที่เป็นอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ ฟื้นฟูกิจการคือ 17 ก.ย. 2545 ที่ปรึกษากม.ของบริษัทเห็นว่าเจ้าหนี้สามารถเรียกร้องหนี้ได้ไม่เกิน 1,343 ล้านบาท หากต้องตั้งสำรองทั้งจำนวน จะกระทบกำไรปีนี้ 0.19 บาทต่อหุ้นหรือ 43% อย่างไรก็ตาม หากมีการเรียกร้องให้ชำระหนี้ จะต้องเข้าสู่กระบวนการศาลแพ่งซึ่งต้องใช้เวลา และอาจกระทบแผนการจัดตั้ง Infra Fund ที่คาดว่าจะอยู่ใน 4Q13-1Q14 บล.ธนชาต อกกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า แนะนำ “ขาย” JAS ออกไปก่อน เนื่องจากประเด็นที่ศาลฎีกา ไม่เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการของ JAS และให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเป็นการกลับคำพิพากษาของศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 7 ส.ค.2003 โดยที่ปรึกษากฎหมายของ JAS ประเมินผลกระทบต่อ JAS ไม่เกิน 1,343 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.20 บาท/หุ้น ขณะที่ในกรณีที่นำหนี้ทั้งหมดก่อนแผนฟื้นฟูกิจการ 8.3 พันล้าน จะทำให้ JAS มีหนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ปรึกษากฎหมายของ JAS ประเมิน แนะนำ “ขาย” JAS เพื่อลดความเสี่ยงระยะสั้นไปก่อน จนกว่าจะมีข้อมูลเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (JAS) เปิดเผยว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมประจำไตรมาส 3 ปี 2556 จำนวน 2,845 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี2555 ซึ่งรายได้รวมอยู่ที่ 2,656 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 189 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.1บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 จำนวน 8,259 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วง 9เดือนแรกของปี 2555 ซึ่งรายได้รวมอยู่ที่ 7,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 801 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.7รายได้ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 86.7 มาจากบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) (TTTBB) และบริษัททริปเปิลที อินเทอร์เน็ต จำกัด (TTTI) ซึ่งเป็นรายได้จำนวน 2,466 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 56และเมื่อเทียบกับรายได้ในไตรมาส 3 ปี 55 ซึ่งอยู่ที่ 2,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 สำหรับ กำไรจากการดำเนินงาน ประจำไตรมาส 3 ปี 56 จำนวน 810 ล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 55 ที่มีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 582 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.2กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ปี 2556กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยอยู่ที่ 778 ล้านบาท และ 800 ล้านบาท ตามลำดับกำไรจากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 56 อยู่ที่ 2,387 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วง 9เดือนแรกของปี 55 ซึ่งกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 757 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 46.4ถึงแม้ว่าต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการ ขยายตัวของธุรกิจของบริษัทย่อยแต่รายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นในอัตรา ที่มากกว่า ทำให้ EBITDA ของบริษัทฯและบริษัทย่อยเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน โดย EBITDA Margin ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 56 อยู่ที่ 55%เทียบกับ EBITDA Margin ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 55 ซึ่งอยู่ที่ 50% ส่วนกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 56 จำนวน 810 ล้านบาทดังกล่าวข้างต้น เมื่อหักรายการ - สำรองจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงของบริษัทย่อย จำนวน 7 ล้านบาท - สำรองหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทย่อย จำนวน 36 ล้านบาท - การบันทึก Deferred Tax จำนวน 12 ล้านบาท ปิดการซื้อขาย( 31 ต.ค. 56) ราคาหุ้น JAS อยู่ที่ 8.45 บาท ลดลง 0.95 บาท หรือ 10.11% มูลค่าการซื้อขาย 9.37 พันล้านบาท
Posted on: Sat, 02 Nov 2013 13:38:56 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015