จับตากองทุนทำวินโดว์ - TopicsExpress



          

จับตากองทุนทำวินโดว์ Source - ข่าวหุ้น (Th) พยุงต่างชาติขายหนัก จับตา CENTEL-EGCO- BBL กองทุนทำวินโดว์สัปดาห์หน้า งานนี้มีหุ้นกลุ่ม SET50, SET100 และ FTSE SET “โต้ง” มั่นใจ QE เฟด (FED) จะไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทยมากนัก รอบนี้มองแนวรับที่ 1,380 จุด ต่างชาติยังขายหนัก 6.3 พันล้านบาท กดดัชนีร่วง 35.51 จุด วานนี้ (20 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,402.19 จุด ลดลง -35.51 จุด หรือ -2.47% มีมูลค่าการซื้อขาย 70,113.46 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,604.07 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ -483.31 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ -6,354.35 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 5,233.58 ล้านบาท ฝ่ายวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การทำ Window Dressing จะเกิดขึ้นช่วงก่อนปิดไตรมาส 2 ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน และมักเกิดขึ้นสม่ำเสมอ ตามสถิติภาพรวมรายไตรมาส ย้อนหลัง 8 ปี ชี้ว่า SET มักปรับตัวขึ้นจริงก่อนสิ้นทุกๆ ไตรมาส ช่วง 1.5-2 สัปดาห์ ราว 0.4-0.7% ด้วยความน่าจะเป็นสูง 72% “ในไตรมาส 2 ของทุกปี จะพบว่า Window Dressing มักเกิดบ่อยในไตรมาสนี้ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยราว 0.8-1.12% ในช่วงก่อนปิดไตรมาส 1.5-2 สัปดาห์ ด้วยโอกาสสูงราว 75% ดังนั้น ในภาวะที่ตลาดปรับฐานมาในปัจจุบัน การคาดหวัง Window Dressing 2Q13 น่าจะเป็นสิ่งที่พอคาดหวังได้” บทวิเคราะห์ระบุ สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้น Window Dressing ที่มักเกิดบ่อยในไตรมาส 2 พื้นฐานเด่น TopPicks ได้แก่ หุ้นบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, หุ้นบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO และหุ้นธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL นอกจากนี้ หากอิงสถิติจะพบว่าหุ้นในกลุ่มวัสดุอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการจ่ายปันผลสูง (High Yield) กลุ่มธุรกิจอาหาร ที่ส่วนใหญ่ฤดูส่งออกจะอยู่ไตรมาส 3, กลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตภายในประเทศ (Domestic Growth), กลุ่มสื่อสารฯ และกลุ่มบันเทิง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการจ่ายปันผลสูง (High Yield) อีกทั้งยังมีหุ้นกลุ่มขนส่ง (Growth) จะเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นจาก Theme นี้ โดยมี 10 บริษัท ที่น่าสนใจคือ CENTEL, ADVANC, BGH, HMPRO, BBL, EGCO, CPN, AOT, SAMTEL และ PS หุ้นในกลุ่มดังกล่าวเราเลือก Top Picks ที่น่าสนใจที่สุด 3 บริษัท คือ หุ้น BBL ราคาเป้าหมายที่ 290 บาท แนวโน้มกำไรโตต่อเนื่องจากสินเชื่อเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ และการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยปัจจุบันเทรดเพียง 1.2 PBV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 1.8 PBV หุ้น EGCO ราคาเป้าหมายที่ 205 บาท โดยมีสตอรี่การเข้าประมูล IPP 5,400 MW คาดรู้ผลสิ้นเดือนมิ.ย. มีโอกาสสูงที่จะชนะงานจากความได้เปรียบด้านต้นทุน หนุนผลประกอบการในระยะยาวโดดเด่น รายได้จาก Solar Cell ที่เพิ่มขึ้นหนุนกำไรปีนี้โตต่อเนื่อง หุ้น CENTEL ราคาเป้าหมายที่ 45 บาท หลังเข้า SET50 รอบใหม่ รายได้โตต่อเนื่องตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ขยายตัวแข็งแกร่ง และอุตสาหกรรมอาหารที่มีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในสัปดาห์หน้ามีโอกาสที่นักลงทุนสถาบันในประเทศ จะเข้ามาทำ window dressing โดยหุ้นที่จะถูกซื้อคือหุ้นในกลุ่ม SET50, SET100 และ FTSE SET ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนโดยรวมยังคงเป็นลักษณะ Trading กล่าวคือ ขึ้นขาย-ลงซื้อ โดยแนะนำให้นักลงทุน “เลือกเก็งกำไรเป็นรายตัว” เป็นสำคัญ นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงภาวะหุ้นปรับฐานในรอบนี้ คาดว่าโอกาสที่บริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ต่างๆ จะทำวินโดว์ เดรสซิ่ง (window dressing) มีค่อนข้างมาก เนื่องจากราคาหุ้นอยู่ในระดับค่อนข้างถูก “การทำวินโดว์เดรสซิ่งในรอบนี้ ผู้จัดการกองทุนอาจดูเรื่องเม็ดเงินไหลออกของต่างชาติเป็นหลัก เพราะถ้าหากราคาหุ้นปรับลงมา ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้ของถูกเข้าพอร์ต ดังนั้น ต้องรอดูใกล้ๆ ปิดกองทุนอีกครั้งช่วงปลายเดือนนี้ ส่วนผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ เรื่องมาตรการ QE เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ถือเป็นการสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุน เบื้องต้นมองว่าผลประชุมดังกล่าวไม่ได้ออกมาเลวร้ายอย่างที่หลายคนคาดการณ์ เพราะเฟดย้ำแล้วว่า ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นจึงชะลอ QE ซึ่งเรื่องดังกล่าวจำเป็นต้องรอดูสถานการณ์ต่อไป เพราะโอกาสที่จะยกเลิกและไม่ยกเลิก QE เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง แต่ความชัดเจนในครั้งนี้ คือ การส่งสัญญาณการเลิก QE หากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ดัชนีหุ้นไทยปีนี้ ยังคงเป้าหมายที่ 1,640 จุด ด้านนักลงทุนแนะว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นอาจจะยืดเยื้อออกไปประมาณ 2-3 เดือนจากนี้ นักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนพอสมควร นักลงทุนระยะสั้นควรมีวินัยในการลงทุน ส่วนนักลงทุนระยะยาวอย่ารีบร้อนลงทุน นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสแซท พลัส จำกัด กล่าวว่า โอกาสที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะเข้าทำวินโดว์ เดรสซิ่ง รอบนี้มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก แต่การทำวินโดว์เดรสซิ่งดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเร็วในช่วงนี้ แต่น่าจะเกิดช่วงใกล้ๆ สิ้นเดือนมิถุนายนนี้เป็นหลัก ส่วนภาวะหุ้นไทย เชื่อว่าคงปรับฐานตามตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณเกี่ยวกับการชะลอโครงการซื้อคืนพันธบัตรสหรัฐชัดเจนส่งผลให้เงินไหลกลับสหรัฐ คาดว่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยใช้เวลาปรับฐานอีกระยะหนึ่ง รวมทั้งบริษัทปรับเป้าดัชนีหุ้นปีนี้เหลือระดับ 1,567 จุด จากเป้าหมายเดิมที่มองไว้ 1,600-1,650 จุด “เรามองว่าจุดสูงสุดของดัชนีหุ้นไทยที่ 1,600 จุดผ่านไปแล้ว หลังจากเงินทุนไหลกลับสหรัฐ ทำให้เงินทุนไหลกลับเข้ามาในรอบถัดไปคงลดลง จึงปรับเป้าหมายดัชนีลง ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้คาดว่ายังเติบโต 20% เช่นเดิม” นายสุพงศ์วร กล่าว นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การตัดสินใจทยอยลดการซื้อสินทรัพย์ในปลายปีนี้ และยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ QE ในปลายปีหน้า ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED จะไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทยมากนัก เพราะมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ และสภาพคล่องเงินบาทในประเทศสูง เพียงพอรองรับการไหลเข้าออกของเงินทุนต่างชาติ โดยช่วงที่ผ่านมาเงินที่ผ่านเข้ามาในประเทศทั้งหมดเป็นเงินเก็งกำไรและไม่ควรเข้ามาตั้งแต่ต้น หากจะมีการไหลกลับเข้ามาก็จะไม่เสียหายแต่อย่างใด “ผลกระทบการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ว่าการตัดสินใจของเฟดผลจะออกมาอย่างไร ก็จะมีผลกระทบอยู่แล้ว เพราะนักลงทุนต่างชาติจะเก็งกำไรกับข่าวนี้ แนะนักลงทุนไม่ใช้เงินกู้ในการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง” ทั้งนี้ ตนมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลอัตราแลกเปลี่ยน เตรียมรองรับความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน และดูแลการไหลเข้าออกของเงินทุนไม่ให้กระทบเงินบาท โดยเครื่องมือและกลไกของ ธปท.ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะสามารถรองรับได้ โดยรูปแบบการดูแลไม่จำเป็นต้องเข้าแทรกแซงตลาด และไม่จำเป็นต้องดำเนินการในลักษณะกองทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนในอดีต แต่อาจประยุกต์ใช้ได้ ซึ่งจะช่วยให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างวันไม่ผันผวนมากเกินไป นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากที่หลายฝ่ายมีความกังวล เรื่องมูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) จะลดลงหรือไม่ หลังจากดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ตลาดหลักทรัพย์ยังมองว่ามาร์เก็ตแคปยังไม่น่าเป็นห่วง ถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นปีต่างชาติจะขายสุทธิเกินกว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นแรงเทขายทำกำไร โดยแรงขายสุทธิดังกล่าวยังน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนที่ต่างชาติถือครองหุ้นในสัดส่วนที่ 35-37% ของมาร์เก็ตแคป ทั้งหมด 13 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติที่ถือครองหุ้นหรือลงทุนในระยะยาว รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจที่เข้าลงทุนในระยะยาว ยังคงอยู่อย่างเหนียวแน่น เพราะปัจจัยพื้นฐานในประเทศยังดีอยู่ ส่วนปริมาณการซื้อขายต่อวันไม่มีสัญญาณน่าเป็นห่วง แต่อาจจะมีการปรับลดไปบ้าง เนื่องจากปริมาณการซื้อขายต่อวันยังมาจากในประเทศเป็นหลัก โดยต่างชาติมีสัดส่วนอยู่เพียง 18-25% ตามช่วงเวลา ซึ่งอาจจะมีการหายไปบางส่วน แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด ทั้งนี้ ยังคงมีการพูดคุยเพื่อที่จะมีการปรับตัวเลขปริมาณการซื้อขายต่อวัน แต่โดยรวมสถานการณ์ยังไม่แน่นอน น่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงถึง 43 จุด ในช่วงเช้าวานนี้ (20 มิ.ย.) เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ปรับตัวลงหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณจะเริ่มลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) ลงตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ และจะสิ้นสุดช่วงกลางปี ถึงปลายปี 57 ซึ่งเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะไม่เกิดภาวะการตื่นตระหนก (PANIC) คาดตลาดหุ้นไทยจะปรับลดลงในอัตราใกล้เคียงกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นสหรัฐลดลงประมาณ 1% ตลาดหุ้นเอเชียลดลงประมาณ 1-2% ซึ่ง ตลท. คงไม่ต้องมีมาตรการพิเศษออกมาดูแล ส่วนการที่เฟดกำหนดเวลาชัดเจนในการลด QE ถือเป็นว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ช่วยให้เกิดความชัดเจน และลดความกังวลออกไปบ้าง เนื่องจากที่ผ่านมามีการคาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วว่าเฟดต้องยุติมาตรการ QE อย่างแน่นอน ทำให้นักลงทุน และบริษัทจดทะเบียน สามารถวางแผนการลงทุนได้ล่วงหน้า ขณะที่ยืนยันว่า การที่เฟดลด QE ไม่มีผลกระทบต่อพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ที่ยังขยายตัวได้ดี แต่กลับเป็นช่วยทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง เนื่องจากมีเงินทุนไหลออก และเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ซึ่งการที่เงินบาทอ่อนก็จะส่งผลดีต่อการส่งออก ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะเข้าลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี แต่ราคาถูก เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังดี กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 10 ซึ่ง บล.ไทยพาณิชย์ ยังคงเป้าหมายดัชนีปลายปีนี้ที่ระดับ 1,550 จุด โดยให้ติดตามปัจจัยทางการเมืองที่ยังกดดันตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป ส่วนแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ คาดว่ายังมีต่อเนื่อง หลังจากที่ต่างชาติปรับพอร์ตลดความเสี่ยง เพราะได้กำไรจากราคาหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยในช่วง 1-19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ต่างชาติมีการขายสุทธิ 35,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่าต่างชาติจะไม่ขายออกหมดทั้ง 100% นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า โดยพื้นฐานหุ้นไทยยังมีความแข็งแกร่ง ซึ่งต้องมาดูว่ากระแสเงินไหลออกมาน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ดี ยังมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับฐานอยู่ โดยยังมองแนวต้านที่ 1,425 จุด และแนวรับที่ 1,380 จุด
Posted on: Fri, 21 Jun 2013 04:44:36 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015