ประวัติสะพาน Golden - TopicsExpress



          

ประวัติสะพาน Golden gate สะพานโกลเด้นเกตที่เปิดใช้งานมาตั้งแต่ 27 พฤษภาคม 2480 มีอายุครบ 75 ปีแล้วในปีนี้ เป็นสะพานแห่งแรกที่ก่อสร้างด้วยระบบสัญญา Public Private Partnership, PPP เป็นสะพานแขวน (suspension bridge) ที่ยาวที่สุดในโลกมานานกว่าจะถูกทำลายสถิติให้ลดลงมาเป็นยาวที่สุดอันดับ 3 ในปัจจุบัน เป็นสะพานแรกที่นำระบบจัดการจราจรแบบ Reversible traffic lane flow มาใช้ และมีการนำระบบบำรุงรักษาและบูรณะสะพานแบบใหม่ๆมาใช้และแพร่หลายไปใช้กับสะพานอื่นทั่วโลก วิสัยทัศน์ที่จะสร้างสะพานนี้มีมาตั้งแต่ยุคตื่นทองแล้วแต่ก็เลื่อนเรื่อยมาจนถึงยุคที่มีการผลิตรถยนต์ออกมาใช้ในโลกแล้ว แรกทีเดียวสะพานนี้เกือบไม่ได้สร้าง เพราะปัญหาด้านวิศวกรรม ธรณีวิทยา เศรษฐกิจและการเมือง การเดินทางก่อนมีสะพานต้องใช้เฟอรี ซึ่งมีรถใช้มากถึงวันละ 3,000 คัน ในปี 2463 รถต้องรอคิวยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง และในวันแรงงานเมื่อปี 2473 มีรถรอใช้เฟอรีมากถึง หกหมื่นคัน ทำให้รถติดยาว 24 กม การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมตัดไม้และเศรษฐกิจบริเวณอ่าวซานฟานทำให้จำเป็นต้องสร้างสะพาน แต่หาคนมาลงทุนไม่ได้ เพราะสะพานยาวมาก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นไม่เอื้อ จนกระทั่งมีวิศวกร Michael O’ Shanghnessy, Joseph Strauss และกลุ่มนักธุรกิจรวมตัวกันคิดก่อสร้างสะพานขึ้น โดยมีนาย Struass ทำแบบร่างสะพานขึ้นเมื่อปี 2464 เป็นแบบ cantilever span มีการต่อต้านว่ารูปแบบไม่สวยและทำลายทัศนียภาพพื้นที่รอบๆ รวมทั้งทางรัฐไม่มีงบพอเพราะเพิ่งลงทุนก่อสร้างสะพาน Bay Bridge เชื่อมระหว่างซานฟานซิสโก กับโอกแลนด์ นาย Michael จึงร่วมกับหอการค้าและนักธุรกิจที่สนใจร่วมกันจัดตั้งกลุ่ม Public Private Partnership ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก โดยออกพันธบัตรเงินกู้ แล้วใช้คืนด้วยเงินค่าผ่านทาง โดยมีธนาคารอเมริกันเป็นผู้ดำเนินการ หลังใช้เวลาหลายปีผ่านกระบวนการทางกฎหมาย การเมือง และปรับปรุงแบบโดยกลุ่มวิศวกรฝรั่งเศสที่นำโดย Charles Ellis, Leon Muisseiff และ Othmar Ammann ออกมาเป็นแบบสะพานแขวนที่ยาว 1.28 กม มีช่องลอดสูง 67 เมตร เพื่อให้เรือรบที่มีฐานทัพเรืออยู่ใกล้ๆ เข้า-ออกได้ บริเวณก่อสร้างสะพานอยู่ห่างจากรอยแตกของเปลือกโลก San Andreas Fault เพียง 32 กม ซึ่งเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.9 มาแล้วเมื่อ 25 ปี ก่อน มีกระแสน้ำเชี่ยว จึงต้องออกแบบให้ไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดการทำลายชายฝั่งที่เก่าแก่ที่สุดทางฝั่งตะวันตกของแปซิฟิก อากาศเยือกเย็นและมีหมอกหนาที่จะกัดกร่อนโครงสร้างเหล็ก ต้องต้านกระแสลมที่มีความเร็ว 160 กม/ชม มีสถาปนิกมาร่วมตบแต่งตอม่อและหอคอยสูงให้ดูกลมกลืนกับภูมิทัศน์แถวนั้น การออกแบบที่ยากลำบากนี้เสร็จลงในปี 2473 มีการรวบรวมเงินกู้ที่ต้องมาใช้สร้างสะพานนี้ทั้งหมด 35 ล้านดอลลาร์ และเริ่มงานก่อสร้างเมื่อปี 2476 โดยบริษัทในอเมริกันร่วมกันก่อสร้างโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของคนงานทุกคน เมื่อเข้าไซต์งาน คนงานต้องสวมหมวกนิรภัยแบบชาวเหมืองใช้กันในสมัยนั้น ช่างเหล็กต้องสวมหมวกและหน้ากากป้องกันการหายใจเอากาซเชื่อมเหล็กเข้าไปและป้องกันสายตาด้วย มีการขึงตาข่ายไว้ใต้สะพานเพื่อป้องกันคนตกลงไป ตลอดเวลาการก่อสร้างสะพาน 4 ปี มีคนงานตายเพียง 1 คนเท่านั้น และตาข่ายช่วยชีวิตคนงานได้ถึง 19 คน แต่ก่อนเปิดใช้สะพาน 3 เดือน เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงทำให้มีคนงานตาย 9 คน การลงทุนก่อสร้างนี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ราวกลางทศวรรษ 2500 จำนวนผู้ใช้สะพานนี้เพิ่มขึ้น 700 % มีรถผ่าน 25 ล้านคันต่อปี อีก 10 ปี จากปัจจุบันการจราจรจะติดขัดมากต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะผ่านสะพานยาว 1.28 กม นี้ แต่ไม่มีทางจะขยายกว้างออกไปอีกได้ นอกจากก่อสร้างสะพานใหม่ หรือทำอุโมงค์ลอด เมื่อปี 2506 ได้นำระบบ Reversible lane มาใช้แก้ปัญหาจราจรและปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ต่อมาปี 2513 ได้นำระบบ high occupancy vehicle lanes มาร่วมกับการใช้รถร่วมเพื่อลดความคับคั่งของจราจร และปรับใช้ระบบเก็บค่าผ่านทางเป็นแบบอัตโนมัติในปี 2533 ปีหน้า 2556 จะใช้ระบบ Electronic Toll Collection ETC โดยผู้ใช้ทางจะเลือกแบบจ่ายก่อนหรือตามเก็บทางไปรษณีย์ภายหลังก็ได้ นอกจากนี้ยังมีการกำหนดความเร็วไม่ให้เกิน 72 กม/ชม หากทำผิดกฎจราจรบนสะพานจะถูกปรับเป็น 2 เท่าของที่อื่น ปัจจุบันมีรถข้ามสะพานถึงปีละ 40 ล้านคัน เจ้าหน้าที่ที่ดูแลสะพานทั้งหมด 200 คน ทำหน้าที่เก็บเงินค่าผ่านทาง ซ่อมบำรุงรักษาสะพาน ดูแลด้านความปลอดภัย การทาสีสะพาน คนงานจะตรวจดูและซ่อมเฉพาะจุดที่วิกฤติที่ถูกกัดกร่อนด้วยไอน้ำทะเลที่เค็มจัดมาก เดิมทีจะใช้สีเทาโดยมีสีส้มแดงอย่างปัจจุบันเป็นสีพื้น แต่เห็นว่าสีส้มแดงสวยและเข้ากับสภาพแวดล้อม จึงใช้สีส้มแดงเรื่อยมา สะพานนี้มีการบูรณะปรับปรุงให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ อุบัติภัยร้ายแรงครั้งหลังสุดเกิดในปี 2532 เมื่อมีแผ่นดินไหว 7.1 ทำให้มีคนตาย 68 คน บาดเจ็บ 3,700 คน และค่าเสียหายรวมราว 6 พันล้านดอลลาร์ รวมทั้งการพังทะลายลงของสะพาน Bay Bridge หลังเหตุการณ์นี้ได้มีการบูรณะสะพานให้ต้านทานแรงแผ่นดินไหวขนาด 8.3 ได้
Posted on: Tue, 24 Sep 2013 00:18:16 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015