พร้อมส่งFairy magic collagen Peptide 9,500 มก. - TopicsExpress



          

พร้อมส่งFairy magic collagen Peptide 9,500 มก. /30ซอง ราคา เปิดตัว 1กล่อง/2,200฿ สนใจติดต่อ ดาว tel. 0848534424 id line 0848534424,wechat daw_0863488150 ตลอดเวลาเลยค่า มี อ.ย รับรองนะค่ะ ขาวใสกินแล้วบำรุงสมอง สุขภาพดี ทานแค่ตัวนี้ตัวเดียวได้ครบทุกอย่างเลย ผงคลอลาเจน,จากปลาทะเล แอล-กลูต้าไธโอน ,สารสกัดจากมะขามป้อม, สานสกัดจากชาเขียว,สารสกัดจากใบแป๊ะก๊วย,วิตามินซี,โค เอนไซม์ คิวเท็น ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา “แฟร์รี่เมจิก คอลลาเจน 9500” หนึ่งเดียวในนวัตกรรมนาโนที่โมเลกุลเล็กที่สุด เกรดดีที่สุด เมื่อรับประทานสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที ไม่มากไปน้อยไป พอดีกับร่างกายรับได้มากที่สุด หนึ่งเดียวโดดเด่นด้วยคอลลาเจนที่ดีที่สุด คอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก ในน้ำอุ่น ในมหาสมุทรแปซิฟิก ผู้ที่แพ้อาหารทะเลสามารถทานได้ หนึ่งเดียวในกรรมวิธีที่เหนือใครโดยใช้เอ็มไซม์สกัดและกรดผลไม้จากสับปะรด มะละกอแช่ทำความสะอาด ดับกลิ่นคราวปลา หมดกังวลเรื่องกรดเคมีตกค้าง เมื่อรับประทานต่อเนื่องรับรองปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงแน่นอนค่ะ ผิวสุขภาพดี เปล่งปลั่ง กระจ่างใสอมชมพู ทั่วเรือนร่าง สุขภาพดีจากภายใน ลดริ้วรอยแห่งวัย หยุดอายุคืนผิวสวยสู่วัยใส พร้อมบอกลาปัญหาผิวเสีย - ความหมองคล้ำของใบหน้าลดลง ใบหน้าดูขาวกระจ่างใส อย่างเห็นได้ชัดภายใน 7 วันหลังทาน - ผิวพรรณและใบหน้าดูเนียนนุ่ม ขาว มีออร่า กระจ่างใส และเต่งตึง - ริ้วรอย ร่องลึก รอยตีนกา รอยสิว ดูลดลง - ชะลอความแก่ของใบหน้าและผิวพรรณ - ฟื้นฟูสภาพเซลล์ของผิวหนังแท้หรือผิวหนังชั้นใน ซึ่งจะเสื่อมสภาพและลดลงไปตามอายุ ทำให้ผิวพรรณดูดีขึ้นจากภายใน - เพิ่มเสน่ห์สำหรับตัวคุณ !! มะขามป้อมเป็นประจำจะช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิว และบำรุงผม ส่วนคนไทยนอกจากจะใช้มะขามป้อมเป็นยาแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะแล้ว ยังใช้บำรุงผิวช่วยให้ผิวหน้าขาวแก้ฝ้า โดยการนำมะขามป้อมมาฝนกับฝาละมีแล้วเอาน้ำที่ได้มาทาฝ้า ใช้บำรุงผมโดยทอดมะขามป้อมกับน้ำมันมะพร้าว แล้วเอาน้ำมันมาหมักผมช่วยให้ผมนุ่มลื่น จัดทรงง่าย ป้องกันผมหงอก มีฤทธิ์ต้านไข้หวัดทั้งในหลอดทดลองและมนุษย์ ในผลของมะขามป้องมีสารโปรไซยานินที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับวิตามินซี แต่ทนความร้อนไม่ถูกออกซิไดซ์ง่าย จึงมีความคงตัวสูงซึ่งเป็นข้อดีกว่าวิตามินซีทั่วไป มะขามป้อมมีฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดมะเร็ง โดยการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้นสรรพคุณมะขามป้อมตามตำรับยาไทยสามารถแก้หวัด ผลมะขามป้อมมีสรรพคุณแก้หวัด แก้ไอได้ดี เป็นผลไม้บำรุงร่างกายที่ดีมาก ตำราบางเล่มถึงกับกล่าวว่า ถ้าคนอินเดียไม่มองข้ามมะขามป้อม คือเอามะขามป้อมมากินเป็นประจำวันละ 1 ลูก ทุกวัน เขาเชื่อว่าคนอินเดียจะมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงกว่านี้มากนัก ทั้งนี้เพราะมะขามป้อมบำรุงอวัยวะแทบทุกส่วนของร่างกาย คือ บำรุงผม สมอง ดวงตา คอ หลอดลม ปอด หัวใจ กระเพาะ ฯลฯ แก้น้ำเหลืองเสีย ปรับประจำเดือนให้มาปกติ บำรุงเลือด บำรุงกำลัง ช่วยลดความดันเลือดสูง มะขามป้อมในการลดความดัน ลดน้ำตาลและลดไขมันในเลือด การกินมะขามป้อมช่วยควบคุมโรคเบาหวาน -L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน)เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine (ซิสเทอีน) , Glycine (ไกลซีน) และ Glutamic acid (กลูตามิกแอซิต) พบมากที่ตับของมนุษย์ L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน)เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกระ, ฝ้า และจุดด่างดำ นอกจากนี้พบว่าผู้ที่มีสภาพการทำงานของตับบกพร่อง ผู้ที่ทานแอลกอฮอล์เป็นประจำ รวมทั้งผู้ป่วยโรคตับอักเสบและตับแข็ง จะพบ L-Glutathione (แอลกลูต้าไธโอน)ในตับมีปริมาณน้อย ไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ประโยชน์ได้ จำเป็นต้องได้รับเสริมเข้าไปโดยตรงจากแหล่งอาหารอื่นๆ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์บางชนิด รวมทั้งที่อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วย ประโยชน์ของแอล-กลูต้าไธโอน L-Glutathione 1. Antioxidation : L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน) จะถูกเปลี่ยนไปเป็นเอนไซม์ Glutathione Peroxidase มีคุณสมบัติเป็นสาร Antioxidant ที่สำคัญของร่างกาย ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย 2. Detoxitication : L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน) ช่วยสร้างเอนไซม์ชนิดต่างๆในร่างกาย โดยเฉพาะ Glutathione-S-transferase ที่ตับ ช่วยในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษ ชนิดไม่ละลายน้ำ(ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ไม่อันตราย และละลายน้ำได้ดีขึ้นแล้วขับออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์การสะสมของ Acetaldehyde(ทำให้เกิดอาการเมาค้าง) บุหรี่ และยา 3. Immune Enhancer : L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน) จะส่งผลในการเพิ่มความสามารถในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาว ชนิด Neutrophils และยังเพิ่มความสามารถในการทำงานของ เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานของร่างกายด้วยทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันเพิ่มมากขึ้น 4. Beauty and Whitening : รังสี UV-A และ UV-B ในแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินและอนุมูลอิสระ ทำลายเซลล์ผิว ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำและเกิดฝ้า L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน) มีคุณสมบัติช่วยในการต่อต้านกลไกของอนุมูลอิสระ ที่ทำให้เกิด Lipid peroxide ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้า นอกจากนี้ L-Glutathione (แอล กลูต้าไธโอน) ยังไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ Tyrosenase ส่งผลให้เม็ดสีเมลานินไม่ถูกสร้างขึ้น ทำให้ผิวค่อยๆขาวขึ้น 5. Male Fertity : L-Glutathione (แอล กลูต้าไทโอน) ทำให้ Sperm เคลื่อนที่ได้และลดอัตราการตายของ Sperm -ลลาเจนเปปไทด์ (Pure Collagen Peptide) คอลลาเจน คือ… คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งในร่างกาย ทำหน้าที่ประสานโครงสร้างต่างๆของร่างกายเข้าด้วยกัน ร่างกายคนเรามีคอลลาเจนมากถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกาย พบมากที่ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก และอวัยวะอื่นๆของร่างกาย ผิวหนังมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบถึง 70% จึงทำให้ผิวพรรณแลดูสดใส เรียบตึง ชุ่มชื้น ไม่หย่อนคล้อย คอลลาเจน ทำหน้าที่อย่างไร… ในวัยเด็กร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนได้เอง แต่การสร้คอลลาเจน collagen คอลลาเจนเปปไทด์างคอลลาเจนจะเริ่มลดลงเมื่ออายุ 20 ปี และพบว่าในผู้หญิงจะลดลงมากกว่าผู้ชาย เมื่อระดับของคอลลาเจนลดลงก็จะทำให้ความยืดหยุ่นและสภาพความแข็งแรงของโครงสร้างอวัยวะต่างๆของร่างกาย ลดลงด้วย ส่งผลให้สูญเสียความแข็งแรงของผิวหนัง จึงทำให้เกิดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น ผิวแห้งกร้าน และอวัยวะต่างๆเกิดการหย่อนคล้อย ทำไมจึงต้องเสริม…คอลลาเจนเปปไทด์ บริสุทธิ์ คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุล ใหญ่มาก ร่างกายสามารถดูดซึมได้ยาก จึงมีการนำคอลลาเจนผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์เพื่อให้ได้ คอลลาเจน ที่มีขนาด โมเลกุลเล็กกว่า 3,000 ดาลตัน และเรียกว่า คอลลาเจนเปปไทด์ -วิตามินซี มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Ascorbic acid จัดเป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในน้ำ จึงสามารถขับวิตามินซีส่วนเกินออกจากร่างกายได้โดยง่ายผ่านทางปัสสาวะ โดยปกติร่างกายเราไม่สามารถที่จะสร้างวิตามินซีขึ้นมาเองได้ จึงจำเป็นต้องได้จากการรับประทานเข้าไป เราจะได้วิตามินซีจากแหล่งใด โดยตามปกติแล้ว เรามักจะได้รับวิตามินซีจากอาหารโดยทั่วไปโดยเฉพาะพวกผักและผลไม้ เช่น ผักและผลไม้สดที่มีรสเปรี้ยว ส้ม มะเขือเทศ มะละกอ มะนาว มะขามป้อม แตงโม หากเราทานน้ำส้มคั้น 1 แก้วเราจะได้วิตามินซีประมาณ 100 mg แต่โดยทั่วไปแล้ว เรามักจะได้รับปริมาณวิตามินซีอย่างเพียงพออยู่แล้วจากอาหารที่เรารับประทานอยู่ทุกวัน โดยปริมาณที่เหมาะสมที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ คือ 250-500mg วันละ 2 ครั้ง วิตามินซีสามารถถูกทำลายได้โดยง่ายด้วยความร้อน ดังนั้นจึงไม่ควรปรุงอาหารที่มีวิตามินซีอยู่นานเกินไป ส่วนการแช่เย็นสามารถรักษาปริมาณวิตามินซีไว้ได้ แต่อาจจะถูกทำลายได้ง่ายเมื่อนำออกวางไว้ที่อุณหภูมิปกติ ประโยชน์ของวิตามินซี - เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (anti-oxidant) โดยจะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย เพื่อป้องกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง โดยอาจจะช่วยลดการเกิด Nitrosamine ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่พบพวกอาหารที่มีสาร nitrate หรือ nitrite เช่น เนื้อแดง, แฮม, เบคอน, ไส้กรอก - ช่วยสร้างคอลลาเจนให้กับร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน - ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือโรคลักปิดลักเปิด - ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์ Carnitine และ สารกลุ่ม Steroid hormone - ช่วยป้องกันโรคหวัดและภูมิแพ้ โดยการทานวิตามินซี วันละ 1000 mg. แต่ไม่ควรทานติดต่อกันเป็นเวลานาน - มีส่วนช่วยในการขยายหลอดเลือดแดงที่แขนได้ ซึ่งอาจจะช่วยป้องกันโรคเลือดเลือดแดงแข็งตัวได้ แต่ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัด - ลดอัตราการเกิดของ cell mutation ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเซลล์ - มีส่วนช่วยให้แผลที่เกิดจากไฟไหม้หรือแผลสดต่างๆ สามารถหายได้เร็วขึ้น - ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก วิตามินซี มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Ascorbic acid จัดเป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในน้ำ จึงสามารถขับวิตามินซีส่วนเกินออกจากร่างกายได้โดยง่ายผ่านทางปัสสาวะ โดยปกติร่างกายเราไม่สามารถที่จะสร้างวิตามินซีขึ้นมาเองได้ จึงจำเป็นต้องได้จากการรับประทานเข้าไป เราจะได้วิตามินซีจากแหล่งใด โดยตามปกติแล้ว เรามักจะได้รับวิตามินซีจากอาหารโดยทั่วไปโดยเฉพาะพวกผักและผลไม้ เช่น ผักและผลไม้สดที่มีรสเปรี้ยว ส้ม มะเขือเทศ มะละกอ มะนาว มะขามป้อม แตงโม หากเราทานน้ำส้มคั้น 1 แก้วเราจะได้วิตามินซีประมาณ 100 mg แต่โดยทั่วไปแล้ว เรามักจะได้รับปริมาณวิตามินซีอย่างเพียงพออยู่แล้วจากอาหารที่เรารับประทานอยู่ทุกวัน โดยปริมาณที่เหมาะสมที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ คือ 250-500mg วันละ 2 ครั้ง วิตามินซีสามารถถูกทำลายได้โดยง่ายด้วยความร้อน ดังนั้นจึงไม่ควรปรุงอาหารที่มีวิตามินซีอยู่นานเกินไป ส่วนการแช่เย็นสามารถรักษาปริมาณวิตามินซีไว้ได้ แต่อาจจะถูกทำลายได้ง่ายเมื่อนำออกวางไว้ที่อุณหภูมิปกติ ประโยชน์ของวิตามินซี - เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (anti-oxidant) โดยจะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย เพื่อป้องกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง โดยอาจจะช่วยลดการเกิด Nitrosamine ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่พบพวกอาหารที่มีสาร nitrate หรือ nitrite เช่น เนื้อแดง, แฮม, เบคอน, ไส้กรอก - ช่วยสร้างคอลลาเจนให้กับร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน - ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือโรคลักปิดลักเปิด - ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์ Carnitine และ สารกลุ่ม Steroid hormone - ช่วยป้องกันโรคหวัดและภูมิแพ้ โดยการทานวิตามินซี วันละ 1000 mg. แต่ไม่ควรทานติดต่อกันเป็นเวลานาน - มีส่วนช่วยในการขยายหลอดเลือดแดงที่แขนได้ ซึ่งอาจจะช่วยป้องกันโรคเลือดเลือดแดงแข็งตัวได้ แต่ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัด - ลดอัตราการเกิดของ cell mutation ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเซลล์ - มีส่วนช่วยให้แผลที่เกิดจากไฟไหม้หรือแผลสดต่างๆ สามารถหายได้เร็วขึ้น - ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก - ชาเขียว •แจ่มใส หายง่วง สามารถกระตุ้น ให้สมองสดชื่น •ยังช่วยในการขับปัสสาวะ โดยไปกระตุ้นไตให้ขับน้ำปัสสาวะมากขึ้น และช่วยขยายหลอดลมอีกด้วย •ในใบชาแห้งประมาณร้อยละ 20-30 โดยน้ำหนัก เป็นสารที่มีรสฝาดที่ใช้บรรเทาอาการ ท้องเสียได้ ดังนั้นหากต้องการดื่มชาเขียวให้ได้รสชาติที่ดีจึงไม่ควรทิ้งใบชาค้างไว้ ในกานานเกินไป เพราะแทนนินจะละลายออกมามาก ทำให้ชาเขียวมีรสขม แต่ถ้าหากดื่มชาเขียวเพื่อจุดประสงค์ ในการบรรเทาอาการท้องเสียก็ควรต้ม •ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนัง หลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย •สารแคซิทิน (catecihns)ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งในชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็ง ชาสามารถยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งรุนแรงได้ ซึ่งไนโตรซามีนนั้นเป็นสารที่เกิดจาก สารพวกดินประสิวในอาหารทำปฏิกิริยากับสารจำพวกโปรตีน ที่มีในเนื้อสัตว์และอาหารทะเลกลายเป็นไนโตรซามีนซึ่งก่อมะเร็งได้หลายชนิด ดังนั้นถ้านิยมบริโภคอาหารจำพวกเนื้อสัตว์มากก็ควรดื่มน้ำชาไปพร้อมๆ กันด้วย ก็จะช่วยลดการสร้างสารก่อมะเร็งลง •ในใบชายังมีปริมาณแร่ธาตุฟูลออไรด์สูง ซึ่งแร่ธาตุชนิดนี้เป็นส่วนในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน ให้แข็งแรง นักวิจัยจากศูนย์ทันตกรรมฟอร์ซีธในบอสตัน ยังได้แนะนำว่า การดื่มชาตอนเช้าช่วยในการป้องกันฟันผุได้ โดยถ้าคุณแช่ถุงชาหรือใบชาไว้นาน 3 นาทีก่อนดื่ม ชาจะสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำให้ฟันผุได้ถึงร้อยละ 95 จะเห็นได้ว่าการดื่มชาเขียวจึงน่าจะมีส่วนช่วยในการป้องกันฟันผุได้ •ชาเขียวเป็นส่วนผสมในการปรุงแต่งกลิ่น รส ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ไอศกรีม หมากฝรั่ง (ดับ-กลิ่นปาก) และลูกอม •มีสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวสามารถช่วยชะลอความชราและคงความเยาว์วัยได้ (โอ้โฮ้! อะไรจะดีปานนั้น เริ่มดื่มตอนนี้ยังทันไหมเนี่ย) สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวไม่เพียงแต่จะมีประสิทธิภาพสูงมากกว่าวิตามินซีถึง 100 เท่า แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอีอีกถึง 25 เท่าในการทำลายอนุมูลอิสระ •ต้านโรคไขข้ออักเสบ กล่าวกันว่าชาเขียวช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูห์มาติก (rheumatoid arthritis) ที่มักจะเกิดกับสตรีวัยกลางคน อาการของโรคโดยทั่วไปคือ มีอาการของการอักเสบบวมแดง ปวด เมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ •ลดระดับคอเลสเทอรอลขณะที่กาแฟเพิ่มระดับคอเลสเทอรอล ชาเขียวกลับช่วยลดระดับ คอเลสเทอรอล สารแคเทชินในชาเขียวช่วยทำลายคอเลสเทอรอลและกำจัดปริมาณของคอเรสเทอรอลในลำไส้ แค่นั้นยังไม่พอ ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่พอดี อีกด้วย •ช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอล และยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของ ก้อนเลือด ซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก มักมีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากการดื่มชาเข้ากับ •ควบคุมน้ำหนัก ถ้าคุณกำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ การจิบชาเขียวสามารถช่วยได้ดีทีเดียว จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์พบว่า ชาเขียวช่วยเร่งให้ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารและไขมันมากขึ้น • ต่อสู้กลิ่นปากและแบคทีเรียในปาก การดื่มชาเขียวนอกจากจะทำให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ยังช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและป้องกันการติดเชื้อได้ด้วย จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเพส สหรัฐอเมริกาพบว่า สารสกัดจากชาเขียวมีสรรพคุณในการต่อสู้กับแบคทีเรียโดยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ อันที่จริงแล้วพบว่าชาเขียวเป็นตัวช่วยยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากต่อสู้กับเชื้อไวรัสในปากโดยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย •ป้องกันฟันผุ ชาเขียวมีสรรพคุณช่วยป้องกันฟันผุโดยช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ชื่อ Streptococcus mutans ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดหินปูนที่มาเกาะฟัน รวมทั้งยังช่วยยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปาก -Ginkgo Biloba หรือใบแป๊ะก๊วย ไปใช้ประโยชน์ในด้านการส่งเสริมคุณภาพสมอง ในปัจจุบันพบว่า Ginkgo Biloba Extract ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในทางการแพทย์สมุนไพร ในแถบยุโรปอีกด้วย สารสกัดจาก Ginkgo Biloba หรือใบแป๊ะก๊วย มีสารออกฤทธิ์หลักซึ่งให้ผลทางการแพทย์ที่น่าสนใจอยู่ 2 กลุ่ม ดังนี้ - กลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) เรียกว่า จิงโก ฟลาโวน ไกลโคไซด์ (Gink go Flavone Glycoside) สารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ต่อต้านการจับตัวกันเป็นก้อนของเกร็ดเลือด ดังนั้นใบแป๊ะก๊วย จึงมีฤทธิ์สำคัญในการป้องกันการเกิดภาวะอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง - กลุ่มไตรเทอร์ปีน แลคโตน (Triterpene Lactone) สารกลุ่มที่พบว่ามีบทบาทสำคัญในการช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิตได้รวดเร็วขึ้น คือ จิงโกไลด์ (Ginkgolides) และบิโลบาไลด์ (Bilobalide) นอกจากนี้ยังพบในพวกสารสเตอรอยด์ (steroids) อนุพันธ์กรดอินทรีย์และน้ำตาล แต่ถ้ากลับไปมองในส่วนของสารที่ออกฤทธิ์ทางด้านเภสัชวิทยาแล้ว แปะก๊วย จะมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สำคัญและมีการนำมาใช้ทางคลินิกจำนวนมาก ดังนี้ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และยังสามารถชะลอความแก่ได้ ฤทธิ์การยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดทำให้การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดฝอยดีขึ้น ฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้ความสามารถในการทำงานและการตัดสินใจดีขึ้น ฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไหลฉีดไปตามผิวหนังได้ดี ฤทธิ์เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ ฤทธิ์ยับยั้งการเกิดไลปิดเพอรอกไซด์ ฤทธิ์ช่วยให้ความจำดีขึ้น ฮิปโปแคมปัสเป็นบริเวณสมองที่รับผิดชอบการเรียนรู้และความจำ ซึ่งความจำที่ได้รับผลกระทบมากในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ คือ ประเภท declarative memory ลักษณะทางประสาทพยาธิวิทยาหลัก 2 ประการ ที่พบได้ในสมองของผู้ป่วยคือ neuritic plaque ที่มีองค์ประกอบเป็น beta amyloid และองค์ประกอบของเซลล์ที่ตายแล้วจับกลุ่มอยู่ภายนอกเซลล์ และพบ neurofibrillary tangles ที่เกิดจาก hyper-phosphorylated tau proteins อยู่ภายในไซโตซอล ฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดตัว ฤทธิ์เพิ่มการมองเห็น ฤทธิ์ยับยั้งการเสื่อมของสมอง ช่วยลดอาการวิตกกังวล ช่วยปรับสมดุลทางอารมณ์ ช่วยเสริมการไหลเวียนของออกซิเจนที่ไปเลี้ยงเซลล์สมองและการทำงานของระบบประสาทส่วนปลาย ช่วยเพิ่มสภาวะการตื่นตัวและสมาธิ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองขาดเลือด และลดอาการข้างเคียงที่จะเกิดกับผู้ป่วยโรคสมองขาดเลือด เช่น อาการวิตกกังวล อาการซึมเศร้าและอาการผิดปกติทางระบบประสาท -โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (Coenzyme Q10) สารเพิ่มพลังงาน โคเอ็นไซม์เป็นสารสำคัญที่มีส่วนร่วมในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์เป็นการเพิ่มความทนทานแข็งแรงให้กับเซลล์และช่วยลดความอ่อนล้าของร่างกาย ทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉงแข็งแรงทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ ระบบหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ถูกใช้ป้องกันอาการหัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure)ที่เกิดจากการคั่งของเลือดโคเอ็นไซม์คิวเท็น จะไปลดความเหนียวและการเกาะตัวของไขมันบนผนังหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ความดันโลหิตสูง โคเอ็นไซม์คิวเท็น ช่วยลดความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง (High Blood Pressure)ที่เกิดจากการแข็งตัวของเส้นเลือด (Athreosclerosis) ของอวัยวะต่าง ๆ จนทำให้ผนังหลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น (Elastictiy) กล้ามเนื้อหัวใจ เพิ่มประสิทธิภาพของการนำออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อหัวใจที่ขาดเลือด โดยช่วยลดความตึงของการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจในภาวะขาดออกซิเจนทำให้การทำงานของหัวใจดีขึ้นและเพิ่มการสูบฉีดโลหิตใหม่ไปยังหัวใจ (Re-Perfusion)และยังไปกระตุ้นการสร้างพลังงานในไมโตคอนเดรียของกล้ามเนื้อหัวใจและช่วยป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระด้วย จึงทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง โรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่นมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)มะเร็งก้อนเนื้อ (Tumor)รวมทั้งลดอาการข้างเคียงที่เกิดจากเคมีบำบัด (Chemotherapy)ในผู้ป่วยมะเร็ง แผลในระบบทางเดินอาหาร ช่วยส่งเสริมขบวนการซ่อมแซมตัวเองของเซลล์โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะแผลในระบบทางเดินอาหาร เช่น แผลในกระเพาะอาหาร หรือในลำไส้เล็กส่วนดูโอดินั่ม (Duodenum) ระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยส่งเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างการทำงานได้ดีขึ้น (Enhance lmmune) ช่วยให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเชื้อโรคได้ดีขึ้น เหงือกและฟัน โคเอ็นไซม์คิวเท็น มีประโยชน์ช่วยลดปัญหาของโรคเหงือกและฟัน เบาหวาน พบว่า โคเอ็นไซม์คิวเท็น ช่วยลดน้ำตาลในเลือด กล้ามเนื้อตาย ลดความเสี่ยงต่อภาวะเซลล์กล้ามเนื้อตาย (MuscularDegenneratiion)เนื่องจากการทำงานหนักและมีสารตกค้างที่เกิดจากขบวนการเมตาบอลิซึมในระหว่างการทำงาน ผิวหนัง ช่วยเสริมสร้างพลังงานในระดับเซลล์ผิวช่วยปกป้องเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอิลาสตินจากรังสี UVA ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงและเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่และปกป้องคอลลาเจนจากการถูกทำลาย ให้สูญเสียโครงสร้างและความยืดหยุ่น จึงช่วยลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นและป้องกันไม่ให้เกิดรอยเหี่ยวย่น รวมทั้งปรับสภาพผิวให้ผิวชุ่มชื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้โคเอ็นไซม์คิวเท็นยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความสัมพันธ์กับวิตามินอีในการป้องกันเซลล์ผิวจากปฎิกิริยา Lipid Peroxidation ซึ่งเป็นสาเหตุของกระแก่ (Age Granule)จึงทำให้ผิวสดใสมีชีวิตชีวา ป้องกันหมันในชาย โคเอ็นไซม์คิวเท็นช่วยให้ Sperm แข็งแรงขึ้น
Posted on: Mon, 24 Jun 2013 09:18:23 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015