หุ้นดิ่ง 36 จุด - TopicsExpress



          

หุ้นดิ่ง 36 จุด เงินทุนไหลออก หันช้อปน้ำมัน-ปิโตรฯ-เดินเรือ ได้ดีเศรษฐกิจโลกฟื้น หุ้นไทยดิ่ง 36 จุด กังวลเฟดลดวงเงิน QE เดือน ก.ย.นี้ หลังตัวเลขจ้างงานนอกภาค การเกษตรสหรัฐฯ ออกมาดีเกินคาด ส่งสัญญาณเงินทุนต่างชาติไหลออกอีกระลอก วานนี้ฝรั่งกลับ มาขายอีก 3.9 พันล้านบาท ด้านโบรกฯ แนะเปลี่ยนกลุ่มลงทุน หันอิงกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว นำโดยกลุ่มพลังงานน้ำมัน-โรงกลั่น-ปิโตรเคมี และกลุ่มเดินเรือ ชู BCP- TOP- PTTGC- IRPC-PTTEP เป็นหุ้นเด่น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้(8 ก.ค.)ดัชนีปรับตัวลดลงแรง ถึง 36 จุด หลังจากที่นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และการปรับลดวงเงิน มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE)ของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) หลังตัวเลขการจ้างงานนอก ภาคการเกษตร (non-farm payrolls) เดือน มิ.ย.ของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นมากถึง 1.95 แสน ตำแหน่ง ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.65 แสนตำแหน่ง และดีกว่าเดือนที่ แล้วที่การจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.75 แสนตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงาน (unemployment rate) ยังทรงตัวในระดับเดิมที่ 7.6% ซึ่งยัง เป็นปัจจัยหนุนการบริโภคภาคครัวเรือน ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเฟดอาจปรับลดวงเงิน QE ลงใน การประชุมเดือน ก.ย.นี้ และอาจยกเลิก QE ทั้งหมดในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งจะกดดันให้เงินทุนต่าง ชาติ(Fund Flow)ไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่อีกระลอก ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปิดที่ระดับ 1,404.64 จุด ลดลง 36.69 จุด หรือ 2.55% มีมูลค่าการซื้อ ขาย 41,829.88 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,904.51 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อ สุทธิ 689.23 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 503.35 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,718.63 ล้านบาท ทั้งนี้ นักวิเคราะห์แนะนำนักลงทุนให้ปรับเปลี่ยนกลุ่มลงทุน โดยหันมาอิงกลุ่มที่จะได้ ประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัว อาทิเช่น กลุ่มพลังงานน้ำมัน ซึ่งได้รับประโยชน์โดย ตรงจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ฟื้นตัวตามความต้องการโลกที่กระเตื้องขึ้นแล้ว กลุ่มโรงกลั่น ปิโต รเคมี รวมทั้งกลุ่มเดินเรือที่ได้รับประโยชน์จากการที่ค่าระวางเรือน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และ อยู่ในช่วงฟื้นตัวต่อเนื่องตามเทรนด์เศรษฐกิจโลก เลือกสะสมหุ้นน้ำมัน บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซียพลัส(ASP) ระบุว่า หากเชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยัง เกิดขึ้นต่อเนื่อง และน่าจะมีความชัดเจนในงวด 2H56 โดยเป็นการฟื้นตัวของสหรัฐเป็นหลัก เป็นประเด็นสำคัญที่จะหนุนให้หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายนอก (Global Play) จะ เป็นตัวชี้นำดัชนีตลาดหุ้นโลกนับจากนี้ โดยแนะนำสะสม บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEP ให้ราคาเหมาะสม 188.7 บาท ซึ่งได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคา น้ำมันดิบโลกที่ฟื้นตัวตามความต้องการโลกที่กระเตื้องขึ้นแล้ว แม้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ปัญหา การเมืองในอียีปต์ กลับเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลทางด้านปริมาณการผลิตน้ำมันดิบโลก เพราะ อียิปต์เป็นจุดยุทธ์ศาสตร์สำคัญในการลำเลียงน้ำมันในกลุ่มโอเปก คิดเป็น 7% ของปริมาณผลิต น้ำมันของกลุ่มโอเปก ล่าสุด ราคาน้ำมันดิบดูไบกระเตื้องขึ้นมายืนเหนือ 102 เหรียญฯต่อบาร์เรล ขณะที่เฉลี่ย จากต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 104.2 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าสมมติฐานของ ASP ที่คาดไว้ 100 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในปี 2556 และ 2557 หากทุกอย่างมีทิศทางที่ดีขึ้น เชื่อว่าการปรับ เพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบมีโอกาสเกิดขึ้นได้ กลุ่มเดินเรือ-โรงกลั่น-ปิโตรเคมีคืนชีพ บล.เอเซียพลัส ระบุต่อว่า ด้านดัชนีค่าระวางเรือฟื้นตัวปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมานานกว่า 2 สัปดาห์ โดยสามารถฟื้นตัวจากระดับ 800 จุด เมื่อ 6 มิ.ย. 2555 จนมาแตะระดับ 1,150 จุด ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนจะเริ่มอ่อนตัวลงมาที่ 1,090 จุด ในวันศุกร์ แต่ยังเป็นระดับที่เกินจุดคุ้น ทุน ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่ากลุ่มเดินเรือน่าจะผ่านจุดต่ำสุด และน่าจะมีสัญญานการฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามเศรษฐกิจโลก ASP เลือก บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน)หรือ TTA เป็น หุ้นเด่น ให้ราคาเหมาะสม 23 บาท กลุ่มถัดมาที่เห็นการฟื้นตัวคือ โรงกลั่นน้ำมัน โดยมีหุ้นที่น่าสนใจคือ บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ BCP บริษัทไทยออยล์ จำกัด(มหาชน)หรือ TOP บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และ บริษัทไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC ซึ่งมีสัดส่วนของกำไรจากโรงกลั่นน้ำมันคิดเป็น 85%, 70%, 25% และ 25% ตามลำดับ โดยนับจากสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน มิ.ย.2556 พบว่าค่าการกลั่นสามารถเคลื่อนไหวในระดับ 7-9 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งสูงเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับที่ทรงตัวในระดับ 4 เหรียญฯต่อบาร์เรลใน ช่วง 2 เดือนแรกของงวด 2Q56 อันเนื่องมาจากฤดูกาลขับขี่รถยนต์ในสหรัฐ แม้ว่าจะล่าช้ากว่า ปกติก็ตาม จึงทำให้ BCP และTOP มีความโดดเด่นในฐานะที่มีกำไรหลักมาจากธุรกิจโรงกลั่น ส่วนทางด้านราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ซึ่งที่เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเห็นจะเป็น ทางสายโอเลฟินส์ คือ PTTGC และ IRPC เนื่องจากกำไรมาจากปิโตรเคมี 75% ในอัตราเท่า กัน กล่าวคือ แม้ราคาผลิตภัณฑ์จะอ่อนตัว แต่เมื่อพิจาณาต้นทุนการผลิต (น้ำมัน และก๊าซ) มีแนว โน้มที่อ่อนตัวมากกว่า ทำให้ส่วนต่าง(Spread) มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์โพรพิลีน และ ผลิตภัณฑ์ขั้นปลาย เม็ดพลาสติกชนิด Commodity Grade ได้แก่ HDPE LDPE และ LLDPE (Spreadทั้ง 2 กลุ่ม ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 29% และ 12% 1Q56 จากไตรมาส ก่อนหน้า (qoq) ตามลำดับ) ตามมาด้วย PS และ ABS (ผลิตภัณฑ์ของ IRPC) Spread เพิ่ม ขึ้น 5%(qoq) ดังนั้น ในด้านปิโตรเคมีหุ้น PTTGC จึงน่าจะโดดเด่น เป็นเหตุผลทำให้นักวิ เคราะห์กลุ่มปิโตรเคมีของ ASP ปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น PTTGC จากเดิมที่ถือ เป็น ซื้อ โดยยัง คงให้ Fair Value ที่ 78.1 บาทที่เดิม แม้มี upside เริ่มจำกัดแต่น่าจะสะท้อนว่าได้ผ่านจุดเลว ร้ายไปแล้ว ทั้งนี้ แม้คาดว่าผลประกอบการกลุ่ม ปิโตรเคมี และ โรงกลั่นน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในงวด 2H56 แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการในงวด 2Q56 ที่กำลังจะประกาศในอีก 1-2 เดือน ข้างหน้า น่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวจากงวด 1Q56 จากหลายเหตุผลคือ 1) ค่าการกลั่นเฉลี่ยตลอด งวด 2Q56 ต่ำกว่างวด 1Q56 2) มีโอกาสจะเกิด stock loss ทั้งผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และ น้ำมันดิบ จากราคาเฉลี่ยในงวด 2Q56 ที่ต่ำกว่างวด 1Q56 และ 3) โอกาสที่จะเกิด FX loss อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นจากบริษัทที่หนี้สินต่างประเทศจากที่เงินบาทอ่อนตัวตลาดไตรมาส 2Q56 เทียบกับที่เงินบาทแข็งค่าในงวด 1Q56 แต่เชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนภาวะเลวร้ายไปแล้ว เมย์แบงก์กิมเอ็ง แนะเก็งกำไร PTTEP-BCP บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะนำกลยุทธ์การลงทุน “ซื้อเก็ง กำไร” ได้แก่ PTTEP และ BCP โดย PTTEP มีราคาเหมาะสม 182.00 บาท เนื่องจากคาดว่า หุ้นกลุ่มพลังงาน จะเป็นหุ้นกลุ่มหลักที่เคลื่อนไหว Outperform ตลาดได้ใน 2H56 เนื่องจาก เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และมีแรงขายจากนักลงทุน ต่างชาติค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเคลื่อนไหว Underperform ตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และมี Sentiment เชิงบวก จากการทรงตัวของราคาน้ำมันดิบ NYMEX ที่ทรงตัวสูงกว่าระดับ US$100.00/barrel l รวมทั้งมี Catalyst ใหม่ จากการค้นพบก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งพลังงาน ในพม่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และคาดว่าจะเป็นอัพไซด์ให้กับประมาณการกำไรในระยะยาว ขณะที่กำไรปกติ 2Q56 คาดว่าจะเติบโต yoy แต่ทรงตัว qoq ที่ราว 1.5 -1.6 หมื่นล้าน บาท แต่จะเริ่มเห็นการเติบโตสูง yoy ตั้งแต่ 3Q56 เป็นต้นไป จากการรับรู้รายได้ของโครงการ มอนทาร่า ราคาหุ้นมี Valuation ที่ยังไม่สูงมากนัก โดยซื้อขายระดับ PER 2556 เพียง 10.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพลังงานที่ 11 เท่า และ SET INDEX ที่ 13.5 เท่า และให้ผลตอบ แทนจากเงินปันผลราว 3.6% ต่อปี ส่วน BCP มีราคาเหมาะสม 41.00 บาท ผลประกอบการ 2Q56 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 309 ล้านบาท พลิกกับจากขาดทุนสุทธิ 385 ล้านบาท ใน 2Q55 แม้ว่าค่าการกลั่นจะลดลง - 31% qoq เหลือ US$5.5/barrel แต่ BCP จะมีการรับรู้รายได้ค่าประกันเหตุไฟไหม้จำนวน 1,100 ล้านบาท ใน 2Q56 เข้ามาชดเชยผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยน และ ส่งผลให้ผลประกอบการ 2Q56 โดดเด่นกว่าโรงกลั่น เช่น TOP และ IRPC ที่คาดว่าจะมีผลขาด ทุนสุทธิ รวมทั้งเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดี โดยคาดการณ์เงินปันผลปี 2556 หุ้นละ 1.54 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.2% เรียบเรียง โดย นายศักดิ์ชาย งอกงาม อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 09/07/13 เวลา 8:16:09
Posted on: Tue, 09 Jul 2013 01:20:43 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015